คนที่ดูเหมือนจะเชื่อในเรื่องพวกนี้อย่างเต็มขั้นแบบหมอปลาจะมีความคิดเห็นยังไง
เราได้มีโอกาสเข้ามาคุยกับหมอปลาภายในบ้านที่จังหวัดเพชรบุรี ท่ามกลางแสงแดดตอนบ่ายเกือบเย็นที่ร้อนอบอ้าว ในบริเวณบ้านมีผู้คนมากหน้าหลายตา บ้างก็ก็อยู่ยาวเพื่อรักษาความรู้สึกอะไรบางอย่าง บ้างก็นั่งร้องไห้อยู่คนเดียวบนม้านั่งหน้าห้อง บ้างก็ดูเพี้ยน ๆ เดินมาถามหาบุหรี่จากทุกคน ก่อนจะโดนผู้ดูแลพาออกไป
ลูกศิษย์จากหลายที่ที่เข้ามาแล้วก็จากไป
ไม่นานนักคนที่ดูเหมือนจะเชื่อและเอาจริงเอาจังในเรื่องไสยศาสตร์ที่สุดคนหนึ่งในไทยอย่างหมอปลา
กลับบอกว่าตัวเขาไม่เชื่อในเรื่องพวกนี้แม้แต่น้อย
อืม…ชักสนุกซะแล้วสิ
น่าแปลกที่หมอปลากลับเลือกเชื่อแค่ครึ่งเดียว ซึ่งเราก็รู้สึกขัดแย้งเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ซักไซร้ถามอะไรมากเพราะเรื่องของความเชื่อบางทีก็ไม่ได้ต้องเกี่ยวข้องกับเหตุผลเสมอไป
“ก็จะคิดแต่เรื่องไสยศาสตร์ โดนคู่ต่อสู้เล่นไสยศาสตร์ใส่ พอป่วยปั๊ป ไม่ถูกกับใครก็หาว่าเค้าเล่นไสยศาสตร์ใส่ โดยไม่คำนึงถึงวิทยาศาสตร์
ซึ่งผมพยายามอธิบายไปแล้วว่า ไสยศาสตร์พวกนี้มันไม่มีจริงหรอก
เอาง่าย ๆ เลย ถ้าอย่างเรื่องไสยศาสตร์ ทำใส่คนให้ตายได้เนี่ย ผมคิดว่า นายกรัฐมนตรีประเทศไทยแต่ละยุคอะ คงจะตายห่าหมดแล้วล่ะ
นี่ไง คือเราพยายามอธิบายโดยหลักของเหตุผล”
หมอปลาพูดด้วยเสียงดังกังวาลแต่น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเป็นกันเอง หลังจากเปิดบ้านให้พวกเราเข้ามาพูดคุย
ยิ่งฟังก็ยิ่งน่าแปลกใจ ที่คนในแวดวงที่ขึ้นชื่อได้ว่าต้องพึ่งพาอาศัยความเชื่อ ไสยศาสตร์ อาคม มนตร์ดำ กลับไม่ได้มีความเชื่อในเรื่องพวกนี้เลย
ทำน้ำมนต์พรมให้เค้าสบายใจ มันมีแค่นี้แหละครับ
ไอ้พวกคาถงคาถา เราก็บอกท่องนะโมตัสสะ ก็เป็นคำที่มันเป็นมงคลอยู่แล้วใช่มะ ก็บอกละ มันไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องพวกไสยศาสตร์
เราทำให้เค้าสบายใจอีกอย่างหนึ่ง หลายคนมีความเชื่อว่า หมอ ที่มีชื่อเสียง สามารถทำให้เค้าหายได้ เค้าเชื่อแบบนี้ไง
ทั้ง ๆ ที่ปัญหาที่เค้าเกิดขึ้น มันอาจจะไม่เกี่ยวกับเรื่องลี้ลับ เรื่องผิดธรรมชาติ มันเกี่ยวกับเรื่องวิทยาศาสตร์
แต่เค้าเชื่อ ในตัวตนที่เราเป็นอยู่ไง
เราช่วยเหลือคนที่เค้ามีความทุกข์ ที่วิทยาศาสตร์หาทางออกให้เค้าไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ เรายินดีที่จะหาทางออกให้เค้าได้
มันคือกุศโลบาย และเมื่อ เขาเครียด ในสิ่งที่เขาเป็นอยู่ เราก็ต้องมีมุก สอดแทรกเข้าไป ให้เขาลืมความทุกข์ ณ เวลานั้น คือทุกวันนี้ มันเหมือนกับการงมงาย แต่เราอยากให้ทุกคนมาพิสูจน์เราก่อนว่าเรางมงายหรือไม่งมงาย”
“พวกคนเหล่าเนี้ยะเขาอ้างว่าเขามีเทพมาอยู่ภายในตัวเค้า เค้ามีองค์เทพ องค์เทพมาสร้างบารมี
การสร้างบารมีภาษาบ้านพ่อมึงหรอฮะ มาเรี่ยไรเงินคน ถ้ามึงมีเทพอยู่ในร่างมึงจริง มึงต้องเสกหินเนี่ย เป็นเพชรเป็นทองเพื่อเอาเพชรเอาทองเนี่ยมาช่วยเหลือคน เนี่ยเค้าเรียกการสร้างบารมี
หรือบางคน เอาไข่มาตอก แล้วเจอเส้นผม เจอหนังนู่นหนังนี่ ก็คือกลอยู่แล้ว ก็คือไข่ที่หมอเตรียมมาแล้ว
นักวิชาการหลายคนนะ ก็ออกมาอธิบาย แต่คนพวกเนี้ยะ ไม่เลือกจะเชื่อ แต่ไปเลือกเชื่อกับพวกหมอไสยศาสตร์
เพราะหมอไสยศาสตร์หนึ่ง ขายฝันไง ขายความเชื่อ มันไม่มีประโยชน์หรอก มันมีแต่โทษ หมอไสยศาสตร์ก็หลอกแดกกะตังไป ไอ้คนที่มีความทุกข์ก็เสียเงินยิบย่อย”
หมอปลาขยายความเรื่องความเชื่อของตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าค่อนข้างจะเป็นความเชื่อที่สุดโต่งไม่น้อยภายในสังคมไทยเมืองแห่งศาสนาพุทธที่ผสมเข้ากัยศาสนาพราหมณ์และการนับถือผีอย่างแนบเนียนและหยั่งรากลึก
สำหรับเราหลาย ๆ อย่างในตัวหมอปลาดูขัดแย้งกันไปหมด เพราะยิ่งคุยก็ยิ่งรู้สึกว่าเค้าไม่ใช่หมอผีหรือคนปราบผีอย่างที่เราเคยคิดเลย แต่ก็ยังไม่รู้จะจำกัดความว่าอะไรเหมือนกัน ไม่ทันไรหมอปลาก็พูดต่อ
“ดู อย่าไปฟังหมอปลาพูด เพราะหมอปลาอาจจะพูดโม้ก็ได้ ให้ดูที่หมอปลาทำอยู่ทุกวันดีกว่า นี่คือสิ่งที่มันสำคัญ นี่คือตัวตนหมอปลา คนเราจะพูดยังไงก็ได้ แต่ทำได้มั้ย
ตอนโรงบาลเค้าเดือดร้อน เค้าขาดอุปกรณ์การแพทย์ กลับไม่ให้ กลับไปสร้างโบสถ์ใหญ่โต ถามว่าโบสถ์ใหญ่โต พระบวชปีกี่รูปอ่ะ
แล้วมันสำคัญมั้ย มันไม่ได้สำคัญอะไรเลย เพราะแก่นของศาสนามันไม่ได้อยู่ที่ วัตถุ มันอยู่ที่ หลักของคำสั่งสอนครับ ชีวิตคนมันสำคัญกว่าเรื่องของความเชื่อ”
สำหรับบางคนการทำอะไรบางอย่างเพื่อเสริมกำลังใจจากสิ่งที่ยึดเหนี่ยวอาจจะมีผลกับการดำเนินชีวิตมาก เรามองว่าการกราบไหว้อะไรบางอย่าง หรือเชื่อมั่นในสิ่งที่เรามองไม่เห้นไม่ใช่เรื่องผิดเพียงแต่ว่าเราไม่ควรจะเอาความเชื่อส่วนตัวของตัวเองไปโยนให้คนอื่นเชื่อตาม หรือเอาความดี บุญบาป ในแบบของตัวเองไปตัดสินคนอื่นว่าคนที่ไม่เชื่อตามตัวเองจะเป็นคนไม่ดี ไม่ว่าจะยึดเหนี่ยวในสิ่งที่มองไม่เห็น ตัวบุคคล หรือตรรกะศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ก็เป็นคนดีได้ทั้งนั้น
“หรือบางคน เอาไข่มาตอก แล้วเจอเส้นผม เจอหนังนู่นหนังนี่ ก็คือกลอยู่แล้ว ก็คือไข่ที่หมอเตรียมมาแล้ว
นักวิชาการหลายคนนะ ก็ออกมาอธิบาย แต่คนพวกเนี้ยะ ไม่เลือกจะเชื่อ
แต่ไปเลือกเชื่อกับพวกหมอไสยศาสตร์ เพราะหมอไสยศาสตร์หนึ่ง ขายฝันไง ขายความเชื่อ
มันไม่มีประโยชน์หรอก มันมีแต่โทษ โทษอะไรอ่ะ หมอไสยศาสตร์ก็หลอกแดกกะตังไป ไอคนที่มีความทุกข์ ก็เสียเงินยิบย่อย”
หมอปลาเล่าถึงโมเดลธุรกิจของหมอไสยศาสตร์ให้เราฟังด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างขึ้น พร้อมกับอารมณ์หงุดหงิดเล็ก ๆ ที่ปรากฎขึ้นบนใบหน้า ทำให้เรารู้ว่าหมอปลาเองก็คงไม่ได้เลื่อมใสในทางนี้เหมือนกัน เราได้แต่คิดว่าการที่หมอปลาจะรักษาและเยียวยาสภาพจิตใจของคนที่เชื่อในเรื่องไสยศาสตร์ ก็คงต้องเอาไสยศาสตร์มาเป็นตัวล่อ ก่อนจะเอาหลักจิตวิทยามาช่วยทีหลัง ซึ่งเราคิดว่าไม่แปลกและค่อนข้างสมเหตุสมผลที่หมอปลาจะทำแบบนี้
จนถึงตอนนี้ถ้าจะเปรียบหมอปลาที่หลายคนมองว่าเป็นหมอผีเป็นอะไร คิดว่าคงใกล้เคียงกับจิตแพทย์…ไม่สิ น่าจะเหมือนพระในวัดป่าเล็ก ๆ ตามนอกเมือง
“มันไม่ใช่ว่าเราไปเก่งกว่าวิทยาศาสตร์ มันไม่ใช่ ของเรามันเป็นที่บรรเทาทุกข์ บำรุงสุข ให้คนที่หาที่พึ่งไม่ได้” หมอปลาพูด
ไม่น่าแปลกใจที่ยังมีใครหลายคนต้องการให้หมอปลาช่วยเหลืออยู่ เพราะตราบใดยังมีใครอีกหลายคนที่เชื่อว่าเวทมนตร์ อาคม ใช้รักษาอาการต่าง ๆ (ที่เราเชื่อว่าเป็นอาการทางจิต) ได้ แม้หมอปลาจะแกล้งทำเป็นมีอาคมก็แล้วสวดแค่ “นะโมตัสสะ” ก็เถอะ
เพราะสุดท้ายแล้วก็อย่างที่หมอปลาบอกแหละครับว่า “ชีวิตคนมันสำคัญกว่าเรื่องของความเชื่อ” มากกว่า ที่จะต้องคอยให้คนปรึกษากับชาวบ้านในระแวก