สูบกัญชากันกลางกรุงเทพมหานครหน้าสถานที่ราชการฉลองการ “ปลดล็อกกัญชา” แต่… ทำไมคนกัญชายังคงบอกว่าการปลดล็อฟครั้งนี้ยัง “ไม่จริง” ซะทีเดียวนะ
จากการพูดคคุย บ้างก็เป็นสายสันทนาการ บ้างก็เป็นสายสุขภาพ พากันฉลองเมื่อเพื่อฟังคำตอบอย่างใกล้ชิดท่ามกลางกลิ่นหอมอบอวล… คือจุดสูบกันหน้ากระทรวงฯเลยนี่แหละ
บรรยากาศเคล้าอบอวลไปด้วยกลิ่นหญ้าและเสียงเพลงเร็กเก้สกา หนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์กัญชาไทย กับการปลดกัญชาออกจากการเป็นยาเสพติด” คือคำประกาศของกิจกรรม Cannabis Legalization Ceremony ที่จัดขึ้นในวันที่ 25 มกราคม 2565
จริง ๆ แล้วพวกเขายังคงได้ฉลองกันอีกหลายรอบล่ะมั้ง กับการ ค่อย ๆ ขยับกฎหมายปลดล๊อคกัญชากันไป…
ค่อย ๆ ช้า ๆ ตามจังหวะเพลงเรกเก้และกลุ่มควันกันไปไทยแลนด์…
ตอนนี้หลาย ๆ คนคงทราบแล้วแหละว่ามติกรรมการปปส. เห็นชอบแล้วที่จะปลดกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด แต่ยกเว้นอันที่มีสารสกัด THC เยอะกว่า 0.2%… ว่าแต่มันหมายความว่ายังไงล่ะ? 0.2% ที่ว่านี่คือใช้ได้แค่ไหนกัน?
“เพราะเขายังมองตัว THC เป็นสารเสพติดไงเลยให้น้อย” พี่โอ อัครเดช ฉากจินดา จากกลุ่มเขียนอนาคตกัญชาไทย จังหวัดกระบี่อธิบายเรื่องนี้ให้ฟั
“จริง ๆ ผมว่าพวกหมอเองก็รู้นะว่าสาร THC มีประโยชน์ในทางการแพทย์ แต่มันเกิดการกีดกันไง ไปให้ความสำคัญกับ CBD เพราะทุนใหญ่ ๆ ที่จัดตั้งบริษัทตอนนี้จดทะเบียนปลูกเพื่อจัดจำหน่ายซึ่งส่วนมากจะเป็นกัญชาที่มีสาร CBD มันคือการออกกฏเพื่อกีดกันและกำหนดให้ประโยชน์กับคนกลุ่มน้อยกลุ่มเดียว”
ขอขยายความนิดนึง ความแตกต่างระหว่าง THC และ CBD
สาร THC ที่พบในกัญชาจะทำให้เกิดอาการเมา (get high) ต่างจาก CBD ที่ไม่ส่งผลทางด้านนี้ ซึ่งการรักษาโรคมะเร็งด้วยกัญชาจะต้องใช้สายพันธุ์กัญชาที่มีสาร THC มากกว่า 20% การที่มติอนุมัติให้ปลดล็อคได้แค่ 0.2% เลยเป็นเหมือนการ “ปลดไม่จริง” ในมุมมองของใครหลายคน (ที่มา https://www.cannhealth.org/content/1133/thc-and-cbd)
พี่โออธิบายต่อว่าจริง ๆ แล้วกัญชาสายพันธุ์พื้นเมืองของไทยที่ปลูกแบบธรรมชาตินี่มีค่า THC สูง การอนุญาตแค่สารสกัดที่มีค่าต่ำกว่า 0.2% เลยเหมือนการฆ่าตัดตอน
“ผมเสียดายความหลากหลาย เสียดายมูลค่าที่เรามีอยู่แล้วก็เลยคิดว่าต่อไปหลังจากที่แต่ละกระทรวงจะออกกฏกติกาอะไรขึ้นมา ควรได้รับฟังความคิดเห็นรอบด้านครับ ไม่ใช่ฟังแต่กลุ่มตัวแทนที่เป็นกลุ่มทุน
“แล้วพี่มีความหวังยังไงบ้างในวันนี้ครับ?”
“แค่ลงมติให้กัญชาไม่ใช่ยาเสพติดผมก็แฮปปี้แล้วครับ แล้วหลังจากนี้ก็ต้องไปโฟกัสเรื่องกฏกระทรวงในแต่ละประเด็น พวกเรามารวมตัววันนี้ส่วนหนึ่งก็เพื่อมาสุมหัวคิดในขั้นต่อ ๆ ไปด้วยว่าจะผลักดันด้านไหนต่อไปครับ”
“มันเป็นเรื่องของทุกคนนะ ผมอยากให้นำกัญชามาใช้รักษาโรคได้ซักที” ลุงแม็ก เปื้อนยิ้ม หนึ่งในผู้รณรงค์ให้ใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์กล่าว
“ถ้าปลดล็อคทุกอย่าง เขาจะดูดเล่นก็เรื่องของเขา เขาจะเอาไปรักษาก็เรื่องของเขา คุณก็ให้เสียภาษีไปสิ ใครปลูกกี่ต้นก็เสียตามนั้นไปสิ มันยากมั้ยล่ะ?”
“วันนี้ผมมาดูว่าจะปลดจริงหรือเปล่าหรือว่าปลดเป็นการเมือง ผมอยากให้ปลดจริง ๆ เพราะชาวบ้านจะได้ใช้ ยิ่งถ้าท่านทำกัญชาส่งนอกนะ ใช้เวลาไม่กี่ปีก็ใช้หนี้หมดแล้วครับผม อยากให้ท่านเปิดตาดู
แต่ผมมองว่าคงไม่ได้ปลดร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มหรอก แต่ก็ยังดีที่ได้ปลดขั้นแรกจะได้ทำอะไรได้บ้าง คือผมอยากให้คนป่วยได้ใช้ก่อนเพราะมันรอไม่ได้จริง ๆ ครับ”
ลุงแม็กเล่าให้ฟังถึงการเปลี่ยนผ่านตั้งแต่ลุงตู้ – บัณฑูร นิยมาภา ผู้บุกเบิกการรักษาโรคมะเร็งด้วยกัญชา สู่ ด.เดี่ยว พรรคเขียว จนมาถึงยุคนี้ที่คนยอมรับในตัวกัญชามากขึ้น แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะให้ใช้ได้อย่างเสรี ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่คนรุ่นนี้ต้องทำต่อไป
วันนี้ผมเห็นคนเอา cardboard ขนาดเท่าตัวจริงของลุงตู้ หรือคนใส่เสื้อลายพี่ด.เดี่ยวมาร่วมงานด้วย ถึงตัวจะจากไปแล้วแต่พวกเขายังอยู่ในใจของชาวสายเขียวจริง ๆ
“ถึงเขาจะบอกว่าปลูกไม่ได้ แต่ตำรวจแถวบ้านผมก็ปลูกกันที่แฟลตนะ ผมรู้เพราะพ่อผมเป็นตำรวจ” ผู้เข้าร่วมงานคนหนึ่งเล่าให้ผมฟัง
“ผมเห็นตำรวจยืนดูดกันหน้าแฟลตแบบโจ่งแจ้งอ่ะ แต่เอาจริง ๆ ผมคุยกับตำรวจที่รู้จักเขาก็ไม่ค่อยอยากจะยุ่งกับเรื่องจับคนเสพกระท่อมหรือกัญชาแล้วนะ เขาว่ามันยุ่งยากเวลาจับก็เลยไม่จับแล้ว”
“คิดว่ารัฐบาลมั้ยว่าจะปลดล็อกจริงเต็มรูปแบบ?”
“ถึงวันนี้กฏหมายมันจะคลายล็อกให้เสรี แต่ประชาชนอย่างเรา ๆ ก็ไม่ได้เข้าถึงอย่างเสรีอยู่ดีครับพี่ ที่เราออกมาเรียกร้องก็เพราะอยากได้สิ่งที่ถูกต้องก็คือความเสรีจริง ๆ ประชาชนสามารถเข้าถึงได้จริง ๆ โดยที่ไม่มีขีดจำกัดว่าเข้าถึงได้แค่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เรื่องการบรรลุนิติภาวะก็เรื่องหนึ่งนะ มันทำได้อะถ้าตั้งใจจะควบคุมให้อยู่ในกรอบจริง ๆ
ผมอยากให้กัญชาอยู่กับภาคประชาชนจริง ๆ อะครับ ไม่ใช่แค่อยู่กับกลุ่มทุนใดกลุ่มทุนหนึ่ง”
“กัญชาที่ในทางที่ผิดคือที่เอาไปรองขาตู้ครับ กัญชาต้องเอาไปดูด (หัวเราะ)” พี่ชัยวัฒน์ บานใจ แอดมินเพจกัญชาชน – Highland พูดติดตลก
“คุณบอกว่ากัญชาจะเป็นพืชเศรษฐกิจแต่จะมีผลิตภัณฑ์อะไรออกมาขาย ถ้าไม่ปลดล็อกให้ใช้สันทนาการ?” พี่ชัยวัฒน์เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ขับเคลื่อนให้ใช้กัญชาเพื่อการสันทนาการเริ่มเปิดประเด็น
“คือยาเนี่ย ถ้าเราไม่ป่วยเราจะใช้ยามั้ย? ตอนนี้วิสาหกิจชุมชนทำแต่ยาหม่องจนล้นตลาด ปัญหาตอนนี้คือผู้ปลูกล้นตลาด กัญชามันล้นตลาดต่างประเทศ ไม่ใช่มีแค่ประเทศเราที่ทำเรื่องกัญชา ถ้าทำต้องทำให้ครบสิ ถ้ากลัวเยาวชนจะใช้ก็ป้องกันไปสิ ทำไมสุรา บุหรี่ถึงทำได้แต่กัญชาทำไม่ได้?
เครื่องจักรทำงานหนักยังต้องพักเครื่องเลย มนุษย์เราก็ต้องการพัก การใช้กัญชาในเชิงสันทนาการมันดีกว่าการใช้หลังจากที่เราเจ็บป่วยไม่ใช่เหรอ ถ้าเราเปิดขอบเขตสันทนาการให้ตรงประเด็นถูกต้องมันก็จะมีประโยชน์มากครับ
“พี่ว่าถ้าเปิดเสรีเต็มที่ ศักยภาพของกัญชาจะไปได้ขนาดไหน?”
“ผมอยากให้ตั้งคำถามใหม่ว่าถ้าวันนี้เราไม่ทำ แล้วอยู่ ๆ ประเทศเพื่อนบ้านทำขึ้นมาคนจะไปประเทศเพื่อนบ้านหมดไม่ใช่เหรอ คำว่า ‘ทำแล้วดีมั้ย?’ มันไม่ใช่คำถามแล้ว คำถามคือเราจะอยู่ยังไงถ้าคนอื่นทำแต่เราไม่ทำ
อเมริกา แคนาดาก็มีหลายส่วนที่เปิดให้ใช้สันทนาการแต่ประเทศเขาก็ไม่ได้ล่มจมไม่ใช่เหรอ ผมว่ายังไงเราก็จัดการตรงนี้ได้อยู่แล้ว เราต้องเริ่มนับหนึ่งได้แล้วไม่ใช่มัวแต่คิดแล้วไม่ทำจนคนอื่นแย่งทำไปหมดแล้วเรารั้งท้าย มันไม่ใช่”
คนเริ่มเยอะขึ้นเรื่อย ๆ ผมนั่งลงในกลุ่มที่อยู่ใกล้ที่สุดเพื่อชวนคุย ถามไถ่ความรู้สึกถึงมุมมองที่มีต่อกัญชา
“ฝรั่งใช้(กัญชา)กลายเป็นประเพณีเขา แต่คนไทยใช้แล้วกลายเป็นขี้ยาอย่างนี้เหรอ?” ผมมารู้ภายหลังว่าชาวสายเขียวกลุ่มนี้คือ Breeder หรือที่แปลเป็นไทยว่านักปรับปรุงสายพันธุ์นั่นเอง
“คนเพาะพันธุ์เมืองไทยนี่เก่งนะครับ แต่ว่ารัฐบาลไม่สนับสนุนเลยตั้งแต่เบียร์คราฟต์ยันกัญชา นี่ครับ ฝีมือคนไทยนะครับ ดมได้ไม่เมาพี่” พอพูดเสร็จเขาก็ยื่นตลับใส่กัญชามาให้ผมดม
“เห้ย หอมอะ” ผมรับมาดม ความรู้สึกมันไม่ใช่หอมแบบกลิ่นกัญชา มันเหมือนมีกลิ่นสมุนไพรแซมเข้าไปด้วย พอถามชื่อไปเจอเขาพูดกลับมาเป็นศัพท์เทคนิคของสายพันธุ์จนไม่รู้จะเขียนยังไงดี เอาเป็นว่ามันหอมและคนไทยเพาะเองแล้วกัน
หลังจากคุยกับกลุ่มนักเพาะพันธุ์เสร็จได้ซักพักผมก็ขอตัวเดินดูรอบ ๆ คนแถวนี้ก็อัธยาศัยดีจัง หันมาถามผมว่า “เอา(กัญชา)ซักหน่อยมั้ยพี่?” ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ผมเลยรับมาแล้วดูดซักสองที
แหม่ ของเขาดีจริง ๆ
เดินได้ซักพักก็มาสะดุดตาเข้ากับจุดขายน้ำเก๊กฮวยที่ใส่ใบกัญชา พอชวนคนขายคุยถึงได้รู้ว่าเขาทำ Production Design รวมถึงควบคุมการผลิตให้กับฟาร์มกัญชาแห่งหนึ่งอยู่ เขาเล่าให้ฟังว่าใบในขวดเก๊กฮวยมาจากการที่ต้องตัดใบทิ้งเพื่อให้สารอาหารไปเลี้ยงตัวดอกของต้นกัญชาให้ได้มากที่สุด
“ฟาร์มที่ว่านี่ใหญ่ขนาดไหนอะครับ?”
“สิบโรงเรือนเลยครับ ฐานลูกค้ามีอยู่แล้วเลยไม่ได้รับลูกค้าที่เป็นประเภทวอล์กอิน พอเป็นเกรดนี้อะครับ คนไทยจะไม่มีสิทธิ์ได้แตะจนกว่าจะถูกกฏหมายเพราะว่ามันเป็นเกรดส่งนอกหมดเลย แล้วเรื่องราคาคนจะรับไม่ได้อยู่แล้ว คือเหมือนเป็นการคัดคนซื้อไปโดยปริยายไปเลย”
“เพราะว่า supply มันน้อยด้วย? ราคาเลยสูง”
“ใช่ครับพี่”
พอคุยเสร็จผมก็ซื้อเก๊กฮวยมาขวดหนึ่ง ขวดตั้งห้าสิบบาทแหนะ ราคาสูงจริง ๆ
ถึงแม้ว่าการปลดล็อกครั้งนี้จะเป็นการ “ปลดไม่จริง” หรือ “กั๊ก” ในสายตาของใครหลาย ๆ คน แต่จากเท่าที่ฟังมาทั้งหมดในงาน หลายคนต่างรู้สึกว่ามันเป็นก้าวแรกที่ดีที่อย่างน้อยกัญชาก็ได้พ้นสภาพจากการเป็นสารเสพติดแล้ว