ถ้าถามวัยรุ่นในยุค 90 เชื่อว่าไม่มีใครที่ไม่รู้จักชื่อนี้ เพราะความดังของเพลงและชุดที่เธอใส่ได้กลายเป็นหัวข้อที่พูดถึงกันทั่วเมืองและกลายเป็นตำนานหน้าหนึ่งของวงการแฟชั่นไทยมาแล้ว
กับเด็กๆรุ่นใหม่ เราคงต้องบอกว่า ‘พี่โบ’ เป็นหนึ่งในดูโอที่สร้างกระแสสายเดี่ยวให้ฮิตติดลมบน ในยุคที่ผู้ใหญ่ห้ามใส่ออกจากบ้าน เธอคนนี้แหละที่เปลี่ยนภาพลักษณ์ของการใส่เสื้อผ้าแบบนี้ให้เป็นของธรรมดาจนกลายเป็นภาพที่เราเห็นกันทั่วไป ก่อนที่จะเลือกหยุดตัวเองในวันที่ยังมีเสียงโด่งดัง เพื่อผันตัวเองออกมาทำงานประจำ (ที่ได้เงินน้อยกว่า) อย่างไม่ลังเล ตามมาด้วยการเปลี่ยนศาสนาและแต่งงานในวันที่ชีวิตเพิ่งแตะเลขสาม
เราว่าถ้าเราอยากคุยกับใครเรื่องของความเปลี่ยนแปลง
เธอน่าจะเป็นคนตอบเราเรื่องนี้ได้ดีที่สุดคนหนึ่ง
วันนั้นพี่โบยืนยันและบอกง่ายๆแค่ว่า ‘ไม่เป็นไร พี่สะดวกค่ะ’
สุดท้ายเราตัดสินใจเลือกร้านกาแฟที่มีคนเดินไปเดินมาอยู่ด้านนอกโดยมีกระจกใสแผ่นเดียวกั้นเอาไว้ แต่บรรยากาศข้างในกลับสงบอย่างประหลาดเหมือนอยู่คนละโลก
“อยากถามอะไรนะ? การเปลี่ยนแปลงใช่ไหม?” เธอหันมาถามเราหลังจากสั่งเครื่องดื่มกับพนักงานเรียบร้อย ผมประหม่าอยู่บ้าง แต่พี่โบก็ช่วยให้การคุยครั้งนี้ง่ายขึ้นด้วยการเริ่มต้นเล่าให้ฟังแบบง่ายๆ
“สำหรับพี่การเปลี่ยนแปลงมันคือการออกจาก comfort zone ทุกๆครั้งที่เปลี่ยนจะมีระยะเวลาฝักตัวให้เราชิน บางคนยอมแม้ว่ามันจะไม่ดี ไม่ว่าทั้งงาน ทั้งความสัมพันธ์ แต่พอเริ่มอยู่มือแล้วก็ไม่อยากเปลี่ยน ทุกวันนี้คนเราไม่ค่อยจะแคร์อะไรกันเท่าไหร่ เพราะเมื่อสังคมเริ่มเปลี่ยนแปลงเร็ว ผู้คนก็ยอมรับความเปลี่ยนแปลงได้ง่ายขึ้นตามไปด้วย
เพราะก้าวเข้าสู่โลกของความเป็นมืออาชีพตั้งแต่ยังอายุน้อย เธอจึงรู้สึกว่าตัวเองโตกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน ได้ทำงานหาเงินซื้อรถขับ มีบัตรเครดิตไว้จับจ่ายซื้อของที่อยากได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองโดยที่ไม่ต้องขออนุญาตใคร แต่สิ่งหนึ่งที่เธอคิดอยู่ตลอดเวลาก็คือ ‘ทุกบาททุกสตางค์ล้วนแต่แลกมาด้วยอะไรบางอย่างเสมอ’
เราไม่รู้ว่า ‘อะไรบางอย่าง’ ที่เธอว่าคืออะไร แต่เมื่อถามถึง ‘สายเดี่ยวและแฟชั่น’
เธอพยักหน้าและยอมรับว่านั่นคงเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างที่สองของชีวิต
หลังจากที่เธอพูดจบ เราอดที่จะมองชุดที่เธอใส่มาวันนี้ไม่ได้ เพราะมันเป็นเสื้อยืดลายทางกับกางเกงขายาว ดูผิดจากภาพบนปกอัลบั้มหรือในจินตนาการที่เคยคิดไว้อย่างสิ้นเชิง
พี่โบหันมามองเราทำหน้าตลกๆแล้วก็หัวเราะ ก่อนจะเฉยว่าเธอไม่ได้แคร์กับเรื่องการแต่งตัวและหน้าตามาตั้งแต่เด็ก เพื่อนสนิทจะรู้ดีกว่าอะไรอยู่ชั้นบนสุดของตู้ก็เอาอันนั้นมาใส่ และไม่ชอบแต่งหน้า ไม่รู้ว่านี่เป็นความลับหรือเปล่า หรืออาจจะเป็นเคล็ดลับที่ทำให้เธอหน้าเด็กกว่าอายุในสายตาของเรามาจนถึงทุกวันนี้
“เชื่อป่ะว่าไม่มีเพื่อนคนไหนที่ไม่เคยซื้อเครื่องสำอางให้ ทุกคนบอกว่าอยากให้เราดูดี แต่ไม่ค่อยถนัด ความโชคดีอีกอย่างหนึ่งคือแต่เดิมวงนี้ก็ไม่ค่อยแต่งหน้าอยู่แล้ว เพราะสมัยก่อนมันไม่มีขนตาปลอมหรืออะไรเยอะเหมือนสมัยนี้ ภาพเด็กๆก็อยากได้แค่ใสๆ ทาแก้มทาคิ้วนิดหน่อยพอ จะมาเปลี่ยนก็ช่วงนี้แหละ เพราะว่าทีวีมันเริ่มเป็น HD ไม่งั้นเดี๋ยวจะดูหน้าโป๊ไปนิดหนึ่ง ดาราส่วนใหญ่เค้าจะมีช่างแต่งหน้าของเค้าเอง แต่ของเราคือใครก็ได้ รายการทีวีหรือคอนเสิร์ตมีอะไรก็เอาอันนั้น เป็นคนที่ดูเหมือนกับไม่สนใจกับเรื่องแบบนี้จนบางครั้งแบบเฉยเมยเกินไป แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง เอาจริงๆ ถ้าแก้ผ้าแล้วไม่ผิดกฎหมายอนาจาร เราแก้ผ้าไปแล้วแหละ”
“คนทุกคนจะมีปัญหาบางอย่างในตัวเองที่มันแก้ไม่ได้ เราเองก็เหมือนกัน ตอนนั้นกลุ้มใจจนต้องมานั่งคิดว่าอะไรทำให้เรามีความสุขจริงๆ หาเงินได้แล้ว ชื่อเสียงก็มีแล้ว ร่างกายก็แข็งแรง แล้วขาดอะไรล่ะ แค่นี้ก็ดูว่าเรามีมากกว่าหลายๆคนด้วยซ้ำ หรือช่วงเวลาวัยรุ่นขาดหายไป? ก็พยายามกลับไปอยู่กับครอบครัว ตอนนั้นสับสนจนอยู่ๆก็ลองอธิษฐานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกขึ้นมาเฉยๆ ว่าถ้าอยากมีความสุขจริงๆ ไม่ใช่ชั่วคราวจะต้องทำยังไง ?”
“ถามว่าวงการบันเทิงเปลี่ยนเราไหม พี่เชื่อว่าพี่เป็นคนมีอีโก้มาตั้งแต่เด็กๆแล้ว โบจ๊อยส์ดังกันมาตั้งแต่ก่อนออกอัลบั้ม เด็กที่ซ่าๆ เกินวัย ก็จะรู้สึกว่าเราเป็นคนสวย ถึงเราไม่มีอะไรดี อย่างน้อยเราก็หน้าตาดี พอเป็นนักร้องปุ๊บ มีคนมาสนใจ มันก็เสริมตัวเองบางเรื่องว่าพอเมื่อไหร่ที่ถูกทรีตไม่ดี เราจะมีความรู้สึกว่าคนนี้ไม่ดี เพราะไม่เห็นคุณค่าของเรา ทั้งที่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย เค้าอาจจะมีเหตุผลของเค้าก็ได้ เราสร้างกำแพงเพราะเราอ่อนแอ เกรี้ยวกราด ใช้อารมณ์ รู้สึกว่าการพูดคำหยาบ การก้าวร้าวมันเป็นการปกป้องตัวเอง อยากเอาชนะ แม้แต่จอดรถก็ต้องล้ำหน้า เรามีความมั่นใจในตัวเองเกินขอบเขตของความมั่นใจ มองย้อนกลับไปคือไปเอาความมั่นใจมาจากไหน จนถึงทุกวันนี้ก็รู้สึกว่าเกินไปหน่อย”
พี่โบบอกว่าหนังสือไบเบิลเล่มเดียวที่บังเอิญเจอในโรงแรมที่หัวหินระหว่างเดินทางท่องเที่ยวกับที่บ้านเป็นตัวจุดประกายให้หันมาสนใจอ่าน และกลายมาเป็นคริสต์ศาสนิกชน นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของพี่โบที่ทำให้ทุกอย่างคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี และเมื่อกลับมามองย้อนไปก็ไม่เคยเสียดายในสิ่งที่ทำลงไปวันนั้นเลย
“เรื่องที่เปลี่ยนไปชัดเจนคือเมื่อก่อนเป็นคนที่ไม่อยากแต่งงาน เพราะว่าเกิดมาในครอบครัวที่ไม่ได้มีใครเป็นแบบอย่างในการเป็นสามีภรรยาที่ดี ไม่ได้ให้ความสำคัญกับตรงนี้ เราก็เลยรู้สึกว่าถ้าเป็นแบบนั้นไม่เอา ระหว่างทางก็เลิกไปหลายคน เพราะคิดไม่เหมือนกัน มันเป็นจุดที่บอกว่าเราไม่อยากมีแฟนแล้ว เพราะถ้าบอกทุกคนก็ตั้งความหวัง ว่าเราจะเปลี่ยนแปลง มีลูก แต่งงาน แต่พอมาเจอคนนี้ มันไม่เหมือนคนอื่นที่เราเคยเจอ อายุน้อยกว่าแต่ทำไมดูแก่กว่า เค้าเป็นคนดีมาก ไม่เคยโมโหใส่เราเลย ถ้าดีขนาดนี้แล้วเราไม่แต่งอีก เราก็คงโง่มากเลย ไม่เคยคิดว่ามันจะดีเหมือนวันนี้”
“พอแต่งงานแล้วก็เปลี่ยนแปลงสุดๆ เพราะเราเป็นผู้หญิงที่ไม่เรียบร้อยเลย ไม่กวาดบ้าน ไม่ทำกับข้าว ไม่ถูบ้าน ไม่ทำอะไรเลย แต่เค้าก็ยอมเรามากๆ ถึงจะทำงานข้างนอกมาเหนื่อยแค่ไหน พอกลับมาบ้านก็ต้องบริการเราอีก ทุกเช้าเค้าจะมานั่งทำงานใกล้ๆ รอให้เราตื่น และไม่เคยมีวันไหนที่เค้าหลับก่อนเรา มันทำให้รู้สึกว่า โห…. เหมือนเค้าทำวิจัยจนรู้ว่าเราต้องการอะไร นี่เป็นแรงผลักดันให้เราอยากเป็นคนดีขึ้น พอเราดีขึ้นนิดหนึ่งก็ได้กำลังใจจนเราอยากดีขึ้นอีกเรื่อยๆ
“สุดท้ายเราคิดว่าที่เราเปลี่ยนแปลงได้ก็เพราะความรักนี่แหละ”