สมัยนี้ผู้ชายดีๆมีน้อย มันแปลกตรงไหนเหรอถ้าเราจะเป็นฝ่ายขอเค้าแต่งงาน?
เราเป็นคนหนึ่งที่ถูกคนรอบตัวถามตลอดเวลาว่ามีแฟนหรือยัง ?

ถ้าตอบว่าไม่มีก็จะมีคำถามต่อว่า อ้าว…. ทำไมยังไม่มี ? ถ้าตอบว่ามีก็จะถามต่อว่าแล้วจะแต่งงานเมื่อไหร่ ?

เราคิดว่าแฟนควรจะเป็นคนที่ทำให้เรารู้สึกไว้ใจและปลอดภัย ถ้าไม่เคยมีใครทำให้เรารู้สึกแบบนั้นได้ก็เลยคิดว่าอยู่คนเดียวดีกว่ามีแล้วไม่มีความสุข

จนกระทั่งได้มาเจอ ‘เค้า’ แค่รู้จักกันเดือนแรกและยังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนก็มีความรู้สึกที่โอเคมาก เรารู้สึกว่าอยากใช้เวลาด้วยกันมากขึ้น อยากเห็นเค้าในหลายๆมุม อยากรับรู้สิ่งต่างๆไปด้วยกัน ที่สำคัญคือเราคิดว่าเค้าเหมือนกับบ้านที่แค่อยู่ตรงนั้นก็ทำให้รู้สึกสบายใจ เราเลยต้องถามตั้งแต่ยังไม่ได้คบเป็นแฟนว่ามองอนาคตไว้แบบไหน อยากแต่งงานหรือเปล่า เพราะเราเป็นคนที่มองเห็นชีวิตตัวเองไว้เป็นช่วงๆ วางแผนว่าจะทำอะไรกับชีวิตบ้าง ถ้าเป้าหมายในชีวิตไม่ตรงกันก็จะไม่เสียเวลาคุยต่อ (มารู้ทีหลังว่าเรื่องนี้ทำให้เค้าเกือบจะเลิกคุยกันไปเลยเหมือนกัน)

วันหนึ่งเราเลยตัดสินใจถามเค้าด้วยน้ำเสียงซีเรียสในโทรศัพท์ก่อนขึ้นเครื่องบินกลับบ้านว่านี่เราเป็นอะไรกัน ? เพราะถ้าเราไม่รู้สถานะ เราก็จะไม่รุ้ว่าต้องทำตัวตรงไหนยังไง ทุกคนต้องการความชัดเจน บางคนอาจจะชอบความไม่ชัดเจนที่ชัดเจน แต่เราต้องการความชัดเจน เราจะได้แพลนชีวิตถูก เค้าก็บอกว่ายังไม่รู้อีกเหรอ มาเห็นแมสเสจในมือถืออีกทีตอนลงจากเครื่องว่า “เป็นแฟนกันนะ”

โชคดีที่คำตอบของเราตรงกัน 🙂

หลังจากคบได้ประมาณหนึ่งปี ผ่านการทำธุรกิจด้วยกันโดยที่ไม่ได้ตีกันตายไปซะก่อน แม่เราถามทุกอาทิตย์ ว่าเมื่อไหร่จะแต่งงาน เค้าจะมาขอลูกไหม ? จะลงมาอยู่ใต้ได้มั้ย ? คือถามทุกอย่างที่เราเองก็ตอบไม่ได้ พอมาถึงจุดที่เราพยายามสร้างตัวแล้วโดนกดดันจากคนรอบข้างมากๆ ก็มากดดันกับความสัมพันธ์ของตัวเองโดยไม่รู้ตัว มันเป็นช่วงที่แบบอยู่ดีๆก็ร้องไห้แบบทุกวันเป็นอาทิตย์ ไม่สามารถสื่อสารกับแฟนโดยที่หาสาเหตุไม่ได้ จนมาถึงจุดที่ไม่อยากทำงานแล้วก็ชวนทุกคนทะเลาะ เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับความรู้สึก จับอารมณ์ตัวเองไม่ทัน รู้สึกหนักจนยืนไม่ไหว ไม่มีใครช่วยได้

คนที่ทำให้เราเข้าใจก็คือเพื่อนสนิทคนหนึ่ง หลังจากโทรคุยอยู่นานก็ได้ข้อสรุปว่าต้องไปเคลียร์กับแม่ก่อน เพราะรู้สึกว่าโดนแม่กดดันการตัดสินใจในชีวิตหลายๆอย่าง วันที่พูดคือไปกินข้าวที่เอ็มโพเรียมแล้วยืนร้องไห้อยู่หน้าลิฟต์ แม่เดินไปซื้อขนมกลับมาก็เข้ามาถามด้วยความตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น เราก็บอกเค้าตรงๆว่าเราไม่อยากให้เค้ากดดันเรื่องแต่งงานอีกแล้ว ตอนนั้นมันเหมือนได้คำตอบว่าเราไม่ชอบถูกบังคับ คนที่จะอยู่ในความสัมพันธ์นี้คือเรากับแฟน แม่จะเป็นแค่ผู้สังเกตการณ์ ไม่ควรทำให้มันดีขึ้นหรือแย่ลง แม่ควรจะปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ใช่มากลัวแทนเราว่า เค้าจะโอเคกับลูกไหม เค้าจะอยากแต่งงานกับลูกไหม แม่ก็ร้องไห้ว่าเค้าไม่คิดว่าความหวังดีที่อยากเห็นลูกแต่งงานจะเป็นแบบนี้ เขาเห็นว่าทำธุรกิจด้วยกัน คบมาซักพักแล้วจะรออะไรอีกเท่านั้นเอง

หลังจากนั้นเราพูดกับตัวเองทุกวันว่าอยากใช้เวลาด้วยกันแล้วแหละ ไม่อยากไปๆ มาๆ หายๆ ก็กลับไปคิดเหมือนที่แม่พูดว่าไม่รู้ต้องรออะไรแล้ว คือถ้าต้องรอให้พร้อม พูดได้เต็มปากว่าไม่มีใครพร้อมหรอก ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเรามีความรู้สึกอยากไปต่ออีกขั้นนึง ความรู้สึกของเราน่าจะพอดีกันแล้ว เราถามตัวเองหลายรอบมากๆว่าอยากอยู่กับเค้าจริงๆหรือยัง มันไม่มีคำว่าไม่ขึ้นมาเลย หลังจากนั้นก็คิดว่าถ้าแต่งปีหน้าก็ดีเพราะเราอยากมีลูก เคยเจอเพื่อนหลายๆคนที่มีลูกไม่ได้เพราะรังไข่เสื่อม ถ้ารอให้ถึงอายุ 35 ก็ยิ่งมีลูกยากไปอีก อย่างที่เคยได้ยินพี่คนนึงเคยพูดติดตลกเอาไว้ว่าเฮ้ย … ผู้หญิงก็มีวันหมดอายุนะเว้ย !

บ้านเรามีสมาชิกในบ้านเป็นผู้หญิงล้วน ตอนเรียนก็เรียนโรงเรียนหญิงล้วน เรารู้ว่าผู้หญิง (แทบ) ทุกคนอยากให้แฟนคุกเข่าขอเซอร์ไพรส์ริมทะเล หรือข้างหอไอเฟล แต่มีครั้งหนึ่งที่ไปดูคอนเสิร์ตแล้วมีผู้หญิงคนนึงขึ้นไปบนเวทีเพื่อขอผู้ชายแต่งกลางคอนเสิร์ต อันนี้เป็นเรื่องที่เปลี่ยนชีวิตเราไปเลย มันจุดประกายให้ออกมานอกกรอบ เรารู้สึกว่าเรื่องของความรักมันไม่มีผิดหรือถูก ถ้าคนหนึ่งพร้อมจนอยากจะไปต่อแล้ว เค้าก็มีสิทธิ์ที่จะแสดงสิ่งนั้นออกมา

ผู้หญิงบางคนแต่งงานเพราะคบกันมาสี่ห้าปีแล้วผู้ชายมาขอ จะตอบปฏิเสธก็ไม่ได้เพราะไม่อยากหักหน้ากัน แต่เราว่าการเริ่มต้นครอบครัวด้วยอารมณ์นั้นมันไม่ถูกต้อง มันไม่ใช่เรื่องที่จะปล่อยเลยตามเลย หรือกลัวว่าผู้ใหญ่มองยังไง นี่คือเรื่องที่ทั้งสองคนต้องมาตกลงกัน เราแค่รู้สึกว่าเรามีสิทธิ์ที่จะบอกให้เค้ารู้ว่าเราอยากอยู่กับเค้าแล้ว ฝ่ายไหนจะบอกก็ไม่ใช่ปัญหา ไม่ใช่ต้องรอผู้ชายพูดแล้วให้ผู้หญิงนั่งรอ หรือผู้ชายจะแต่ง แต่มาเซอร์ไพรส์โดยที่ไม่ได้ถามผู้หญิง หรือตัวเองยังมีกิ๊กอยู่เลย

เรารู้แหละว่าวัฒนธรรมไทยคือผู้ชายต้องมาขอ แต่เราอยากกำหนดเองอ่ะ คือด้วยเราเป็นคนแบบนี้ รู้สึกเฉยๆอยู่แล้ว ว่าเค้าจะขอหรือเราจะขอ แค่เรารู้สึกว่าถ้าเราพร้อมก็มีสิทธิ์จะบอก อายุสามสิบก็ไม่เด็กแล้ว เราว่าความสัมพันธ์มันคือพื้นที่ที่อยู่ด้วยความสบายใจ กับผู้หญิงคนอื่นๆที่เค้าอยากแต่งแต่รู้สึกว่าเค้าไม่สามารถขอได้ ก็บอกให้แฟนมาขอ แล้วถ้าแฟนไม่พร้อมก็คือเลิกกันไปเลยเหรอ? เท่ากับมีให้เลือกแค่ yes หรือ no ซึ่งถ้าไม่ได้รู้สึกอันไหนซักอัน แต่อยากไปต่อก็จะรู้สึกแย่กับอีกฝ่ายแล้วว่า อ้าว ไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกันเหรอ ที่สำคัญคือเราอยากใช้ชีวิตกับเค้าทุกวันเท่านั้นเอง

วันนั้นเป็นวันที่ไปเดินออกกำลังกายกันตอนเย็นริมชายทะเล ดูเป็นเวลาสบายๆ อยู่ๆเราก็รู้สึกว่าเป็นจังหวะที่ต้องพูดเดี๋ยวนี้ พอถามว่า “แต่งงานกันมั้ย ? ” เค้าก็บอกว่า “อือ… แต่ง” มันเป็นคำสั้นๆแค่สองคำที่ทำให้เรารู้สึกดีใจว่าเราจะได้อยู่ด้วยกันกับเค้าซะที

หลังจากนั้นกลับมาบอกแม่ว่าเราขอเค้าแต่งงาน แม่ถามว่าแล้วเค้าว่ายังไงล่ะ แม่เฉยๆ เพื่อนสนิททุกคนก็ไม่แปลกใจ พวกนั้นบอกว่ารู้อยู่แล้วว่าเป็นคนแบบนี้ แต่กับเพื่อนทั่วไปนี่เรากลายเป็นไอดอลในเวลาข้ามคืน มันเหมือนกับว่าผู้หญิงบางคนรู้สึกว่าไม่มีสิทธิ์เรื่องนี้ แต่เรากลับคิดไม่ใช่ แค่ผู้หญิงทั้งโลกโดนชี้นำให้คิดแบบนี้ผ่านสื่อต่างๆ

เราเลยรู้สึกโชคดีที่เข้าใจตัวเองก่อนที่จะรู้สึกและตัดสินใจ ไม่ใช่ทำไปเพราะอายุสามสิบแล้ว เราขอบคุณความรักที่ผ่านเข้ามาในชีวิตทุกครั้ง บทเรียนพวกนี้ทำให้รู้ว่าคนแบบไหนจะอยู่ด้วยกันได้ คนแบบไหนไม่อยากอยู่ด้วยแล้วในชีวิต มันต้องเจ็บมาก่อนหลายๆรอบอ่ะ ถึงจะตกตะกอนได้ว่าแบบนี้สิ คือสิ่งที่เราต้องการ

ในเมื่อมันเป็นเรื่องของความรัก ก็ควรที่จะใช้ความรักนำทาง
😀

Loading next article...