เรียนออนไลน์: ความเหลื่อมล้ำที่(เกือบ)เท่าเทียม

“(เรียนออนไลน์)วุ่นวายมากกกกกกกกกก”

เรียนออนไลน์มาสองปีแล้ว เราปรับตัวไปได้แค่ไหนแล้วนะ เด็ก ๆ วัยที่กำลังเรียนรู้เรื่องการเข้าสั
งคม อย่างวัยประถม จะเป็นยังไงบ้าง นี่คือเสียงของผู้ปกครองท่านหนึง

“ทุกอย่างในห้องวุ่นวายมาก ผู้ปกครองกับเด็กเองทุกคนยังปรับตัวไม่ได้ ปิดกล้อง ปิดไมค์ยังไม่เป็น สรุปคาบแรก ๆ ไม่ได้เรียนเลย เสียงตีกันวุ่นวายไปหมด ทุกคนแย่งกันพูด คุณครูต้องคอยจัดระเบียบ บอกนักเรียนทีละคนให้ปิดไมค์”

งั้นเราลองไปคุยกับเด็กออนไลน์ตัวจริงเสียงจริงเลยดีกว่า!

ภาพ: วรนิษฐ์ เกียรติจรัสโชติ

สวัสดีค่ะ เราคือเด็กที่จบรุ่นโควิดคนนั้นเอง วันนี้เพิ่มเติมคือเป็น First jobber มือใหม่ในยุคโควิด หลังจากมีประสบการณ์การเรียนออนไลน์ ทำทีสิสออนไลน์ และการทำงานออนไลน์มากว่า 2 ปี เราก็ต้องยอมรับว่าแอบชินกับการทำงานที่บ้านซะแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ชอบมันไปซะทั้งหมดอยู่ดี

นึกย้อนกลับไป ตอนที่เราอยู่ประถม ตอนนั้นเป็นวัยที่เราเล่นสนุกกับเพื่อนอย่างเต็มที่ ทะเลาะกับเพื่อน แอบอ่านการ์ตูนใต้โต๊ะแล้วโดนยึด ต่อคิวซื้อขนมกับเพื่อน เล่นกาฟักไข่ เล่นตั้งเต หรือแอบคุณครูเล่นซ่อนหา ได้เรียนรู้การปรับตัวอยู่ร่วมกันกับเพื่อนรุ่นเดียวกันผ่านการใช้ชีวิตจริง ๆ แล้วตอนนี้เรียนออนไลน์มันจะสนุกเหมือนตอนนั้นมั้ยนะ

ปีนี้น้องไนซ์(นามสมมติ) เรียนอยู่ชั้นป.5 ที่เรียนออนไลน์มาตั้งแต่ป.3 บอกว่าจำไม่ค่อยได้แล้ว ว่าก่อนโควิด เคยเรียนกันยังไง เคยเล่นอะไรกับเพื่อน ๆ บ้าง พอถามน้องไนซ์ว่าชอบแบบไหนมากกว่ากัน
น้องก็คิดซักพัก แล้วตอบว่า “หนูไม่รู้”

หลังจากที่เรียนออนไลน์มาหลายเดือน ปีที่แล้วได้กลับไปเรียนออนไซต์ โรงเรียนให้สลับกลุ่มกันไปเรียนที่โรงเรียนวันละประมาณ 9 คน แล้วจัดที่นั่งเป็นกลุ่มละ 4-5 คนนั่งแยกกันคนละฝั่งของห้องเรียนเรียกว่าบับเบิล และห้ามคุยกันนอกบับเบิลเด็ดขาด ตอนพักกลางวันกินข้าวเสร็จก็ให้นั่งรอคุณครูมาพาขึ้นห้องเรียนกันเงียบ ๆ ไม่ให้ไปไหน

แค่ฟังเรายังเบื่อแทนเด็ก ๆ เลยนะเนี่ย

ถ้าไปเรียนออนไซต์แบบนี้ เรียนออนไลน์สบายกว่า อย่างน้อยก็ได้อยู่ที่บ้าน เราถามติดตลกไปว่า อยู่โรงเรียนเลือกเมนูข้าวกลางวันไม่ได้ เลยชอบเรียนออนไลน์อยู่บ้านมากกว่ารึเปล่า
น้องตอบด้วยเสียงเรียบ ๆ ว่า “ที่บ้านหนูก็เลือกเมนูไม่ได้ค่ะ”

ถึงเราจะไม่ชอบการเรียนออนไลน์เอามาก ๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่าการเรียนออนไลน์ไม่ได้มีแต่ข้อเสียอย่างเดียว เราว่าการเรียนออนไลน์สามารถแก้ปัญหาการศึกษาหลาย ๆ อย่างได้ เช่น การที่เด็กต่างจังหวัดต้องเดินทางเข้ามาเรียนที่กรุงเทพเพื่อได้รับการศึกษาที่ (คิดกันว่า) มีคุณภาพมากกว่า

เด็กทุกคนทั่วประเทศสมควรจะได้รับการศึกษาที่ดีมีมาตรฐานเดียวกันไม่ใช่เหรอ ไม่งั้นพอถึงการสอบระดับชาติ เราจะวัดผลอะไรได้ ถ้าทุกคนที่อยากสอบได้คะแนนสูง ๆ ต้องไปเรียนพิเศษเอง

เราเลยคิดว่า ถ้าการเรียนออนไลน์สามารถไปเตะจุดที่เข้าถึงทุกคนในประเทศได้จริง ๆ ช่อง
โหว่ทางการศึกษาเหล่านี้ สามารถแก้ไขได้ทันที

แต่ก็ต้องยอมรับว่า ในความเป็นจริงแล้วปัจจุบันการเรียนออนไลน์กลับทำให้ความเหลื่อมล้ำเพิ่มสูงมากไปอีก จากแค่เรียนในเมืองกับเรียนนอกเมือง แต่ตอนนี้กลายเป็นเด็กที่ได้เรียน กับไม่ได้เรียนไปซะแล้ว

เราขอแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนรักของน้องไนซ์
นี่คือ “ยัยขี้ฟ้อง” หรือ กล้องวงจรปิดขนาดเล็กที่พี่นุกติดไว้เพื่อความสบายใจเวลาต้องออกไปทำงานข้างนอก และน้องไนซ์อยากเรียนออนไลน์อยู่ที่ห้อง

พี่นุกบอกว่า “สองคนนี้เขาไม่ถูกกัน น้องไนซ์ไม่ชอบยัยขี้ฟ้องเพราะฟ้องแม่ตลอด เวลาไม่ตั้งใจเรียน”

ยัยขี้ฟ้องนี่ขยันทำงานหนัก (เกินไป) จริง ๆ เนอะ

เราว่าจริง ๆ แล้ว การเรียนออนไลน์อาจจะสามารถมาทดแทนการเรียนในห้องเรียนปกติได้เลยนะ แต่ส่วนที่ทำให้โรงเรียนยังมีความจำเป็นอยู่ ก็คงจะเป็นเรื่องสังคม และเพื่อน ที่การเรียนออนไลน์ยังให้ไม่ได้ ถ้าเป็นรุ่นเรา เลิกเรียนก็เล่นกันรอพ่อแม่มารับ แล้วพรุ่งนี้ก็ตื่นมาเล่นด้วยกันต่อที่โรงเรียน แต่พอมาเป็นออนไลน์ พอเลิกเรียนแล้ว เด็ก ๆ เล่นอะไรกัน

น้องไนซ์คุยไลน์กับเพื่อนสนิทบ้าง คอลไลน์กันบ้าง แต่ปกติก็ไม่ได้คุยกันบ่อย พอเลิกเรียนก็จะใช้เวลามาอ่านหนังสือการ์ตูนคนเดียวมากกว่า แต่กับเพื่อนคนอื่นก็ไม่ได้คุยกันเลย ทั้งที่ปกติตอนเรียนออนไซต์ในห้องก็จะเล่นด้วยกันบ้าง

แล้วพอตอนนั้นที่เรียนออนไลน์หลายเดือนแล้วกลับไปเรียนออนไซต์ ปรับตัวเยอะมั้ย? แล้วยังสนิทกับเพื่อนอยู่หรือเปล่า?

“มีแค่วันแรกที่รู้สึกแปลก ๆ จากนั้นก็ชินค่ะ แต่เพื่อนคนอื่น ๆ ก็ไม่สนิทแล้ว”

ปีนี้น้องไนซ์ป.5แล้ว อีกไม่นานก็จะป.6 แล้วคงต้องถึงเวลาร่ำลากับเพื่อน ๆ บางคนที่มีการย้ายโรงเรียน ถ้าสถานการณ์ยังต้องเรียนออนไลน์ไปเรื่อย ๆ เราแอบเสียดายเวลาแทนน้องไนซ์และเด็ก ๆ รุ่นนี้เหมือนกันนะที่น้อง ๆ จะไม่ได้เอาเฟรนชิปไปให้เพื่อน ๆ เขียนกันที่โรงเรียน หรือเซ็นเสื้อนักเรียนกันแล้ว คงจะเหลือแค่การเขียนเฟรนชิปด้วยกูเกิลฟอร์มแล้วละมั้ง

ถ้าเพื่อน ๆ หรือน้องไนซ์ต้องย้ายโรงเรียนตอนม.1 จะเสียใจมั้ยที่ไม่ได้อยู่กับเพื่อนแล้ว
“ไม่ค่ะ เพราะตอนนี้ก็ไม่ได้เจอกันอยู่แล้ว… ก็ยังมีไลน์กันอยู่”

แกร่งสุด ๆ เลยนะ เพราะสำหรับใครที่เคยย้ายโรงเรียนคงเข้าใจความรู้สึก ตอนนั้นยังไม่มีไลน์เลย เราจำได้ว่าตอนนั้นร้องไห้กันแทบตาย เพราะคิดว่าจะไม่ได้เจอเพื่อนอีกแล้ว

เราขอน้องไนซ์ไปนั่งอยู่ด้วยตอนเรียนออนไลน์
คาบนี้เรียนวิชาคณิตศาสตร์ เริ่มคาบด้วยการรอนักเรียนเข้าชั้นเรียนให้ครบ แล้วคุณครูก็เริ่มการสอน บรรยากาศค่อนข้างเหมือนในห้องเรียนปกติ ครูอธิบายตามสไลด์ แล้วให้นักเรียนเปิดหนังสือตาม

เราสังเกตว่าก็จะมีเด็กบางคนที่ช่างถามคุณครู แต่ก็เหมือนว่าจะมีแค่คนเดียว ส่วนน้องไนซ์ก็ดูตั้งใจเรียนดี เปิดหนังสือตามที่คุณครูบอก ทำแบบฝึกหัดตามบนกระดาน ถึงจะมีแอบหาวบ้าง แต่ก็ถือว่าตั้งใจกว่าที่เราคิดมาก

บางมุมก็ให้ความรู้สึกเหมือนตอนเราเรียนพิเศษวันเสาร์กับคอมพิวเตอร์เลย แต่ตอนนี้กลายเป็นต้องมานั่งเรียนกับคอมพ์ทั้งวัน ทุกวัน

เราสารภาพว่าตอนที่นั่งเรียนกับน้อง เราแอบหาวบ่อยมาก ๆ ผิดกับน้องไนซ์ที่ดูตั้งใจเรียนดีเหมือนกัน พอท้ายคาบคุณครูส่งลิงก์ใบงานออนไลน์มาให้ แล้วให้นักเรียนทำแล้วกดส่งเลย เราว้าวมาก ไม่ต้องเดินแจกที่โต๊ะแล้วอะ

จบคาบแล้ว น้องไนซ์กดออกจากโปรแกรม แล้วปิดแท็บเล็ต เราก็งง เลยถามว่าจบแล้วเหรอ น้องพยักหน้าตอบ เออ มันก็จบแล้วนี่นา เราแค่รู้สึกแปลก ๆ ที่หมดคาบแล้วไม่ได้ยินเสียงออด หรือการจบคาบเรียนแบบเงียบ ๆ ไม่มีการหันไปคุยกับเพื่อนเสียงดัง นี่คือบรรยากาศการเรียนออนไลน์จริง ๆ สินะ… น่าเบื่อชะมัด

ตอนเรียนในห้องเรียน น้องไนซ์และเพื่อน ๆ จะกล้ายกมือตอบคำถามในห้อง แต่พอมาเรียนออนไลน์เพื่อนบางคนก็ปิดกล้อง ปิดไมค์ หายไปเลย เลยชอบเรียนในห้องเรียนมากกว่า เพราะมีคนช่วยตอบเยอะ

“แต่ออนไลน์ หนูเบื่อ ต้องนั่งอยู่ที่เดิม มันเมื่อย หนูอยากไปเรียนที่โรงเรียนแล้ว เพราะมันจะมีกิจกรรมอย่างอื่นนอกห้องเรียน อีกอย่างเพราะปีที่แล้วคุณครูบอกว่าป.5 ป.6 จะได้ผ่าตัดหมู ผ่าตัดกบ ไปทัศนศึกษา ตอนนี้ก็ไม่ได้ทำ”

เราลองถามว่าน้องไนซ์เข้าใจที่คุณครูสอนรึเปล่า น้องบอกว่าเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจก็จะเปิดไมค์ไปถาม

ซึ่งน้องก็บอกว่าไม่ค่อยได้ถาม ขี้เกียจเปิดไมค์ไปถามคุณครู ถ้าอยู่ในห้องเรียนจะยกมือถามบ่อยกว่า

ในมุมของคุณแม่น้องไนซ์ พี่นุกบอกว่าชอบให้ไปโรงเรียนมากกว่า เพราะอยู่บ้าน เรียนออนไลน์คนเดียว ก็สงสารเขา เขาดูเหงา แต่ถ้าช่วงโควิดก็ไม่อยากให้เขาไปโรงเรียน เพราะเราก็กังวล เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของเขา

ตอนแรก ๆ ก็ให้เขาเรียนออนไลน์ในโทรศัพท์ของเราเอง แต่นาน ๆ ไปก็สงสารที่เขาต้องจ้องในจอเล็ก ๆ แล้วก็ไม่สะดวกด้วย เพราะเราก็ต้องใช้โทรศัพท์ในการทำงานเหมือนกัน สุดท้ายก็ต้องซื้อแท็บเล็ตให้เขาเรียนออนไลน์ กลายเป็นว่าตอนนี้แท็บเล็ตก็เป็นของเขาไปเลยซะงั้น

กิจกรรมก็ต้องหาให้ทำ อุปกรณ์ต่าง ๆ เราก็ต้องซื้อให้
“แต่ค่าเทอมก็จ่ายเต็มจำนวนนะ” พูดจบพี่นุกก็ขำออกมา

นึกถึงตอนเราเรียนออนไลน์ ที่บ้านก็ต้องติด WIFI ใหม่เหมือนกัน แล้วเด็ก ๆ คนอื่นที่ไม่ได้โชคดีเหมือนเราหรือน้องไนซ์นี่เขาจะทำยังไงละเนี่ย

เราว่าการเรียนออนไลน์อาจจะเป็นสิ่งที่จำเป็นในอนาคต เพราะเราก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตอีกมั้ย การเรียนออนไลน์จะเป็นอีกวิธีการแก้ปัญหานึงที่จะทำให้การศึกษาขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ แต่เท่าที่ฟังน้อง และเคยเรียนออนไลน์มาด้วยตัวเอง เราก็ยังนึกไม่ออกเหมือนกันว่าต้องทำยังไงให้ไม่รู้สึกว่าการเรียนออนไลน์เป็นแค่การเรียนเพื่อฆ่าเวลารอโรงเรียนเปิด

ตอนเรียนที่โรงเรียน เราว่าก็ไม่ได้สนุกอะไรมากมายเหรอก แต่การที่เราได้มาลองนั่งเรียนกับน้องด้วยแล้ว เราว่าเรียนในห้องสนุกกว่าเยอะเลยอะ… อย่างน้อยถ้าเบื่อก็แอบเขียนจดหมายคุยกับเพื่อนได้ การแอบอ่านการ์ตูนใต้โต๊ะ ท้าทายกว่าการปิดกล้องปิดไมค์มาเล่นมือถือเยอะเลยล่ะ!

Loading next article...