ความบู๊และความฝันที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศในฐานะประชาชนตัวเล็ก ๆ คนนึง ต้องแลกมากับคดีและเสียงด่ารอบ ๆ เสมอเหรอ?
ในวัย 67 ปี ป้าเป้าได้กลายเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญประจำม็อบฝั่งประชาธิปไตยไปแล้ว แต่มาจนถึงปี 2021 การเรียกร้องความถูกต้องในมุมมองนักสู้คนนี้มีอะไรต้องเสียดายหรือไม่
ป้าเป้าบอกเราว่า… ‘เอาอะไรมาแลกกับ ‘ประชาธิปไตย’ ก็คงคุ้มทั้งนั้น’
“พวกมึงอะไม่อายเด็กมันมั่งเหรอ เนี่ยกระบองมึงเอามาจากไหน ชุดมึงเอามาจากไหน ฮะ? มึงก็เอามาจากน้ำxxxพวกกูนี่แหละ”
ใครที่เคยไปม็อบหรือเคยดูข่าวม็อบก็คงจะคุ้นกับการเห็นป้าตัวเล็กคนหนึ่งที่ตะโกนด่าแบบไม่เกรงกลัวหรือเกรงใจใคร… ครับ นั่นแหละ ‘ป้าเป้า’
ถ้าใครเคยเห็นป้าแกยืนด่า วลีที่ว่า ‘ยังคงยืนด่า โดยท้าทาย’ ที่ชาวม็อบดัดแปลงจากเพลง ‘แสงดาวแห่งศรัทธา’ มาเป็นฉายาให้ก็คงไม่ได้เกินจริงนัก
“เราต้องแกล้งบ้ากับมัน ที่ยายไอ้นั่นไอ้นี่น่ะ… ยายแกล้งบ้าาาาา เอ้า เป็นไงเป็นกัน กูยอมตาย กูเอาชีวิตเดิมพันกับมึง ดูซิว่ามึงจะเอาขนาดไหน” – ป้าเป้าที่เราเจอในวันนี้ไม่เหมือนป้าเป้าที่ทุกคนเคยเห็น วันนี้ป้าเป้าพูดกับเราด้วยน้ำเสียงนุ่ม น่าฟัง และเสียงเบาด้วย เรียกได้ว่าคนละขั้วกับบนท้องถนนเลย
“รู้สึกว่าด่าแล้วเด็กในม็อบมันฮึกเหิมมั้ย?”
“เออออออ มันชอบ ยาย… ยายก็ไม่คิดว่ายายจะมาสู้เพื่อเด็กถึงขนาดนี้นะ เดี๋ยวนี้มันก็ร่อยหรอลงเนาะ ไปทีไรก็โดนแก๊สน้ำตา… อืม… ยายก็สงสารเด็ก ๆ มันก็ออกไปทำกิจกรรมกัน”
ด้วยวาจาคำด่าที่ลื่นไหลและถึงลูกถึงคน บวกกับวีรกรรมมากมาย ไม่ว่าจะทุบเป้าตำรวจเอย ด่าถ่วงเวลาให้เด็กหนีเอย และอื่น ๆ ทำให้ป้าเป้ากลายเป็น ‘คนโปรด’ และเป็น ‘สีสัน’ ของม็อบฝั่งประชาธิปไตยไปโดยปริยาย
ไม่ว่าเราจะไปม็อบครั้งไหน เราก็มักจะเจอป้าเป้ามานั่งรออยู่ก่อนแล้ว เราเห็นคนผ่านไปผ่านมาแวะเข้ามาทักทายและขอถ่ายรูปด้วย เรียกได้ว่าม็อบไหนมีป้า ม็อบนั้นไม่เหงา มีกำลังใจ แถมก็อุ่นใจไม่น้อยในมุมของเด็กที่ออกมาชุมนุม แถมตัวแกก็ชอบเข้าไปหนุนหลังให้เด็ก ๆ ซะด้วยสิ
เราถามป้าเป้าถึงเส้นแบ่งบาง ๆ ระหว่างเป็นหมากในกระดานของนักการเมืองกับการเป็นฟันเฟืองเพื่อขับเคลื่อนประชาธิปไตย ป้าเป้าบอกว่ามีคนจ้างให้ไปช่วยหาเสียง ช่วยด่า แลกกับเงินครั้งละหมื่นก็มี ห้าหมื่นก็มี แต่ป้าเป้าไม่เอา
“ใครก็มาบังคับไม่ได้ ยายออกมาสู้เพื่อประชาธิปไตย ไม่ได้รับจ้างด่า”
ป้าเป้าเล่าว่าตัวเองไม่ใช่คนรวยหรือมีต้นทุนในชีวิตสูง ผ่านความลำบากมาตั้งแต่เด็ก ๆ ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มรับรู้ข่าวสารบ้านเมืองจากพ่อ (เตี่ย) ที่ออกไปร่วมสภากาแฟแถวบ้านทุกวัน
“โอ๊ยยยย สมัยก่อนไปทำงานเย็บผ้าที่ซาบิน่า เย็บพวกยกทรงชุดนอน พอเที่ยงก็ออกไปช่วยแม่ขายของแต่ก็ยังดีที่ไม่มีหนี้ ทุกวันนี้เหรอ พลาดปุ๊บตายเลย ทุกวันนี้รู้มั้ยยายเดี๋ยวยายจะเอาข้าวมาให้ดูก็ได้ว่ากินข้าวกับอะไร… กินกับน้ำพริก… คลุก ๆ”
ไม่แปลกเลยที่คนที่โดนกดขี่มาตั้งแต่เด็กจะเห็นระบบชนชั้นมากมาย เป็นมุมมองจากฐานพีรมิดย้อนกลับขึ้นไปบนยอดที่อยู่ไกลลิบ
ป้าเป้าบอกว่าตัวเองเริ่มออกมาชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ช่วงปี 51 ที่หน้ารัฐสภาที่โดนสลาย แกบอกว่าน่าจะเป็นช่วงที่ทักษิณโดนคดีซื้อที่ดิน และเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ในการออกมาชุมนุมทางการเมืองก็คือการขัดแย้งกับคนรอบตัวที่คิดไม่เหมือนกัน
“ ‘พวกล้มเจ้า’ เค้าก็ด่าพวกยาย ยายก็ไม่เคยคิดจะล้มเจ้านะ ยายรักแต่ว่าทุกอย่างมันก็เป็นไปตามหลักการ เป็นไปตามกฎหมายใช่มั้ย ?”
“น้องสาวก็ว่า ‘เจ๊เป้า ยังไงก็ไปสู้มันไม่ได้หรอก มันก็ว่าสู้ประชาธิปัตย์ก็ไม่ได้หรอก สมัยนั้นอะเนาะ…’ ยายก็บอกให้มึงอยู่เฉย ๆ กูจะไปเอาประชาธิปไตยมาให้พวกมึง”
“เพื่อนน้องสาวอีกคนนะ รายนั้นนี่ไม่ฟังอะไรเลย พอพูดขึ้นมานะมันเถียงปั๊บๆๆๆๆ ยายก็ว่าคงมีสักวันนะ เดี๋ยวเค้าก็คงรู้เอง ถึงมันจะนาน แต่ฉันก็คงยังไม่ตายหรอก ใช่มะ?”
พอพูดจบป้าเป้าก็ขำออกมาอย่างหน่าย ๆ… การตาสว่างก่อนคนอื่นเป็นเรื่องเจ็บปวดเสมอ และเราไม่รู้ว่าถ้าย้อนกลับไปนานกว่านี้ ช่วงเวลาที่เสื้อแดงตกเป็นจำเลยของสังคม ทั้งจาก Elite ส่วนใหญ่ และจากชนชั้นกลางส่วนใหญ่ ป้าเป้าจะรู้สึกยังไง หรือเหงาแค่ไหน
นอกจากในครอบครัวแล้วรอบบ้านป้าเป้าก็ไม่เบา ป้าเป้าชี้ให้ดูหมดว่าหลังไหนเป็นเสื้อเหลืองบ้าง… ใช่ครับ ป้าเป้าชี้ไปทุกทางเลยครับ ฮ่า ๆๆๆๆ ป้าเป้าบอกว่ามีหลายหลังที่เริ่มรู้ เริ่มกลับใจ แต่ก็ยังมีหลายหลังที่ยังยึดมั่นอุดมการณ์เดิมอยู่
เราถามป้าเป้าว่าสะใจมั้ยที่คนเสื้อเหลืองหรือคนอวยประยุทธ์แถวบ้านหลายคนตาสว่างแล้ว แต่ผิดคาด… ป้าเป้าไม่ได้รู้สึกสะใจหรืออยากสมน้ำหน้าใคร “เรามีงานใหญ่รออยู่ข้างหน้า เราอย่าไปเอางานเล็ก” ป้าเป้าบอกว่าขอทะเลาะกับรัฐบาลก็พอ !
แค่นี้ก็เหนื่อยแล้วจ้าาา
พอป้าเป้าเริ่มมีชื่อจากเสียงด่าอันแสบทรวง สถานการณ์รอบบ้านก็คลี่คลายลง อาจเพราะความดังและการเข้ามามีบทบาทของสื่อออนไลน์ ป้าแกว่าคนยุคนี้โชคดีนะ… อย่างน้อยก็ไม่ได้ถูกปิดตาจนตาบอดไปซะทีเดียว เพราะสมัยแกเด็ก ๆ ยุค 14 ตุลา 6 ตุลา ไม่ได้มีนักข่าวเยอะเท่านี้ แถมทีวีช่องต่าง ๆ ก็โดนควบคุม
“แต่ก่อนนี้นะ ไอ้บ้านที่อัดกรอบพระที่ตรงข้ามกับร้านกับข้าวอะ มันก็จะไม่ค่อยพูดกับยายหรอก มันมองยายด้วยสายตาแปลก ๆ แต่ทุกวันนี้มันพูดดี๊ดี มันทักยาย เค้าบอกทุกวันนี้เค้ารู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร”
… “มันจนกันแล้ว มันไม่มีจะแดกกันแล้ววววว”
“แต่ไอ้พวกรวยมันก็ยิ่งงก ยิ่งกล้าทำXXXเพราะมันมีอำนาจ ไอ้อย่างเรา ๆ มีสิทธิ์มั้ยล่ะ? ตัดไม้ทำลายป่าน่ะ?” – ป้าเป้าเสริมมาอีกนิดครับ
อย่างที่รู้ ๆ กันว่าม็อบตอนนี้ไม่ ‘ฮิต’ เหมือนเมื่อกลางปี 63 เมื่อก่อนคนมาพันเดียวนี่ถือว่าน้อย แต่ตอนนี้จะให้คนมาพันนึงยังยาก ไม่ว่าจะด้วยแนวทางหรือโรคระบาด จนหลายคนเลือกที่จะโพสต์ในโลกโซเซียลมากกว่าจะออกมาบนถนน
แต่ป้าเป้าบอกว่าทุกอย่างต้องทำไปพร้อมกัน ทั้งการให้ข้อมูล และเคลื่อนไหว
“ยายคิดว่าตอนนี้เราก็ไม่ได้ว่าใครว่าจะให้กำลังใจตอนไลฟ์สดหรืออะไร แต่พอถึงเวลามันคับขันจริง ๆ ก็ขอให้ทุกคนออกมาเป็นด่านหลัง ให้เด็กมันอยู่ด่านหน้า เพราะว่าอย่างยายมันไม่ให้เข้าไปหรอก ยายก็ได้แต่เอาเสบียงไปให้”
“ ‘สู้ ๆ นะ’… ถ้าคุณให้แต่กำลังใจ ยายก็สู้ไม่ไหวหรอก มันมาตั้งเยอะ เดี๋ยวอีกหน่อยก็ไม่รู้ว่ามันจะลากรถถังมาหรือเปล่า คุณก็นอนให้กำลังใจอยู่นั่นแหละ แล้วเดี๋ยวฉันก็นอนรับกำลังใจจากคุณ ประเทศมันก็จะได้ฉิxxายไปเลย”
แปลว่ากำลังใจมีเยอะแล้ว อยากได้กำลังคนมากกว่าใช่มั้ย?
“ใช่” – ป้าเป้าตอบเรามาสั้น ๆ และหัวเราะออกมาดังลั่น คุยกันเสร็จก็ได้เวลาที่ป้าต้องไปรับข้าวเหนียวหมูที่สั่งไว้ไปส่งให้เด็ก ๆ แถวอนุเสารีย์ประชาธิปไตยพอดี
… เจอกันที่ม็อบครับป้า