Class Of 2021: จากเด็กโควิดรุ่น 2

นักศึกษาจบใหม่ตอนนี้ จบแล้วไปทำอะไร? 

คงไม่มีใครสามารถให้คำตอบน้อง ๆ ที่อยู่ในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนที่จะต้องออกไปใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่จริง ๆ ปีนี้ก็คงเป็นอีกปีที่กลับกลายเป็น Gap Year ไปโดยปริยาย อย่างไร้คำตอบ

ขอพื้นที่ให้จากเด็กโควิดรุ่น 2 หน่อยน้า

—-

Editor’s Note: 

คอลัมน์นี้เป็นการสรุปความคิดและความเห็นต่อสังคมของของนักศึกษาที่มาฝึกงานก่อนจบมหาวิทยาลัยกับทางทีมเรานะครับ 

มุมมองนี้ทางทีม RICE มองว่าเป็นมุมมองที่สะท้อนความเป็นจริงสังคมปัจจุบันได้อย่างดีเยี่ยมครับ ลองอ่านกันดูแล้วบอกนะ ว่าคิดกับความคิดน้อง ๆ ตอนนี้ยังไง

“จบแล้วทำอะไร ตอนนี้ก็เหมือนถาม ว่าตายแล้วไปไหน สิ้นหวังพอกันค่ะ” 

เราฝึกงานที่ Rice มาได้ 4เดือน แล้วและตอบได้แค่นี้จริง ๆ ตอนที่พี่ ๆ ถามว่าฝึกงานจบแล้วในอาทิตย์หน้าแล้วต้องทำอะไรต่อ 

ถ้านับเวลาที่ได้เข้าไปนั่งทำงานที่ออฟฟิสจริง ๆ คือ 3 วันถ้วน พูดแล้วก็เซ็งอยู่นะ

จากที่เราเคยคิดว่าอีกไม่กี่เดือนก็คงจะกลับมาเป็นปกติ ก็ได้แต่นับเวลาไปเรื่อย ๆ 1 เดือน กลายเป็น 3 เดือน เป็นครึ่งปี เป็น1ปี จนตอนนี้ผ่านไปปีครึ่งแล้ว สถานการณ์ต่าง ๆ ในประเทศก็ดูเหมือนจะยิ่งเลวร้ายลงกว่าเก่า

เราว่าเราโหยหาการพบปะผู้คนตัวเป็นๆ มาก หลังจากที่ต้องทั้งเรียนและทำทีสิสออนไลน์มาเป็นเวลาเกือบปี การได้มาฝึกงานที่นี่เลยกลายเป็นโอกาสที่เราตื่นเต้นที่จะได้ทำมัน

เราชอบพูดกันว่า “ไว้หมดโควิดมาเจอกัน” จนกลายเป็นคำพูดติดปาก ชินหูไปซะแล้ว ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่ามันคือเมื่อไหร่ จนถึงตอนนี้เราฝึกงานจบแล้ว เท่ากับว่าเรากำลังจะเรียนจบจริง ๆ แต่ว่าเพราะโควิด แพลนต่าง ๆ ในชีวิตก็เปลี่ยนไปหมด

จากที่ต้องมีงานโชว์ทีสิส ก็กลายเป็นต้องทำทีสิสเงียบๆ ที่บ้าน โชว์งานบนเว็บเหงา ๆ แล้วก็แยกย้าย พอกำลังจะได้ฝึกงาน ก็มาเจอคลัสเตอร์ทองหล่อ ทำให้ต้อง work from home ต่ออีกยาว ๆ

เราก็แอบคิดนะ พระเจ้าเกลียดอะไรหนูรึเปล่าคะ(วะ) 

เรานั่งคุยกับคนผ่านหน้าจอมาปีกว่าจนจะเรียกว่าชินก็ได้ แต่เราก็ยังตื่นเต้นที่จะได้กลับไปเจอบรรยากาศจากการได้คุยกับคนจริง ๆ ได้ประชุมแบบเจอตัวเป็น ๆ หรือแม้กระทั่งคิดถึงการตื่นแต่เช้าเพื่อออกมาทำงาน เพราะที่เคยทำมันดีไปหมด แต่สุดท้ายก็เหมือนแอบอกหักนิด ๆ ที่ทุกอย่างมีอายุแค่ไม่กี่วัน

เราว่าเราเสียโอกาสที่จะได้ออกไปทำงานใหม่ ๆ จากการที่สถานการณ์ไม่อำนวยไปเยอะมากเลย แต่เราก็คิดว่ามันอาจจะเป็นความไม่เก่งของเราของรึเปล่า ที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนตัวเองให้เป็นไปตามสถานการณ์ได้

ผู้ใหญ่ก็พูดว่า “ทั้งโลกก็เจอเหมือนกันหมดให้ทำไงได้”
มันก็จริงแหละ แต่พอซักพักก็คิดได้ว่า… ไม่ดิ! 

เจอกันทั้งโลกก็จริง แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกประเทศจะแย่เหมือนกันหมด บางประเทศเขาก็เริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติกันแล้ว อาจจะยังใส่แมสก์บ้างบางที่ แต่เค้าก็ยังทำกิจกรรมส่วนใหญ่ได้ ทั้งดูหนังในโรง จัดคอนเสิร์ต ไปชอปปิ้ง ซึ่งที่น่าเจ็บใจที่สุดก็คือแม้กระทั่งจุดที่เจอครั้งแรก เขาก็จัดปาร์ตี้แบบถอดหน้ากากกันได้แล้ว 

เราว่ามันไม่ใช่แล้วว่ะ 

ตอนนี้ถ้าถามว่าจบแล้วจะทำอะไร ? ก็เหมือนถามว่าตายแล้วไปไหน ? สิ้นหวังพอกัน 

จากที่คิดว่าเรียบจบอยากไปทำงานอาสาสมัครหาประสบการณ์ หรือเที่ยวก่อนจะเริ่มหางานทำจริงจัง มาตอนนี้จะไปไหนก็ไม่ได้ เหมือนชีวิตถูกบีบไม่ให้มีทางเลือกเท่าไหร่

ทำไมก็ไม่รู้ แค่ใช้ชีวิตประจำวันเหมือนที่เคยทำอย่างไปเดินสยาม ยังรู้สึกว่ายากจัง ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับกลุ่มเพื่อนยิ่งยากไปกันใหญ่ ส่วนต่างประเทศนี่ลืมไปเลยว่าเราเคยบินข้ามประเทศกันอย่างง่ายดาย (แค่มีตังค์)

ดูมีแต่เรื่องแย่ ๆ เนอะ แต่เชื่อเหอะ เราพยายามหาข้อดีหรือมองโลกแบบสวย ๆ แล้ว แต่ให้เราแกล้งมองข้ามปัญหา แล้วไม่สนใจ เราทำไม่ได้ว่ะ เพราะสุดท้ายแค่เปิดทีวีก็เจอแต่ข่าวคนตายคาบ้าน ข่าววัคซีนที่ดูเหมือนเป็นการชิงโชค ข่าวหมอที่ทำงานกันแบบ overload เข้าโซเชี่ยลก็เจอคนแชร์แต่เรื่องน่าหงุดหงิดของรัฐบาล

ที่เขาพูดกันว่าเราได้สูญเสียช่วงวัยที่ดีที่สุดไปกับสถานการณ์ที่แย่ (และการจัดการของรัฐที่แย่ที่สุด) 

มันไม่เกินจริงเลยนะ

เราอยู่ในช่วงเวลาที่รู้สึกผิดที่จะมีความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยซ้ำ แต่ก็รู้สึกผิดที่จะบ่นออกมาว่าเหนื่อยหรือท้อกับปัญหาที่เจอตอนนี้ เพราะเราก็รู้ว่ามีคนที่กำลังลำบากมากกว่าเราอีก 

มันเป็นจุดที่เราเถียงกับตัวเองบ่อยมากว่าเรามีความสุขได้มั้ย ? 

ทำไมเราจะมีไม่ได้ทั้งที่เราไม่ได้เป็นคนทำให้สถานการณ์แย่ลงซักหน่อย เราดูแลตัวเอง ไม่ทำให้ตัวเองเสี่ยงอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่ทำไมเราต้องมาเป็นคนรู้สึกผิด ส่วนคนที่ทำจะรู้สึกแบบนี้บ้างรึเปล่าก็ไม่รู้

เราคุยกับเพื่อนนะว่าตั้งแต่สถานการณ์แย่ลงเนี่ย ทุกคนกลายเป็นคน aggressive ขึ้น หลายคนจากที่ไม่เคยวิจารณ์รัฐบาล ก็เริ่มทนไม่ไหว แต่เราว่ามันไม่ผิดหรอก เรามีสิทธิทุกอย่างที่จะโกรธ ที่จะโมโหคนที่รับเงินเดือนจากภาษีประชาชนเพื่อมีหน้าที่ควบคุม บริหารสถานการณ์ให้มันดีขึ้น แต่ทุกอย่างกลับแย่ลง แล้วยังเหมือนจะไม่เคยรู้สึกผิดอะไรเลย

จนถึงตอนนี้เราฝึกงานจบแล้ว เท่ากับว่าเรากำลังจะเรียนจบจริง ๆ แล้ว แต่สำหรับเราตอนนี้ การเรียนจบเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก โดยเฉพาะการเรียนจบท่ามกลางสถานการณ์ที่มีคนตายมากมาย เศรษฐกิจของประเทศที่ไม่รู้จะกลับมาดีขึ้นอีกเท่าไหร่ การเมืองที่ดูสิ้นหวังสำหรับคนรุ่นเรามาก ๆ ทุกอย่างดูใหม่ และน่ากลัวไปหมด 

เรากลัวอนาคต เรากลัวสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เรากลัวว่าทุกอย่างจะแย่กว่านี้ 

เราเข้าใจว่าการเรียนจบเป็นเรื่องใหญ่ของทุกคน ทุกคนผ่านความเคว้งนั้นมากันแล้ว แล้ววันนึงเราก็จะผ่านมันไปเหมือนกัน แต่ตอนนี้เราเหนื่อยกับการ work from home แบบไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนกันนะ 

แค่คิดว่าต้องไปสมัครงานแล้วจะต้องเริ่มทำงานใหม่แบบออนไลน์ก็รู้สึกห่อเหี่ยวแล้ว แต่เศรษฐกิจปัจจุบันก็ไม่ได้อำนวยให้เรามีเวลาหยุดคิดเท่าไหร่ เหมือนยิ่งอยู่นิ่งแค่ไหนก็ยิ่งสิ้นหวัง ถึงที่บ้านจะไม่ได้กดดันอะไร แต่ยังรู้สึกกดดันอยู่ดี

ใครอาจจะบอกว่านี่ยังเลวร้ายไม่เท่าเหตุการณ์นู้น เหตุการณ์นี้ แต่เราก็อยากจะบอกเขานะ ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เราสบายใจขึ้นเลย

เราแค่เห็นเหตุการณ์ตรงหน้าแล้วสิ้นหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้น เราแค่มองไม่เห็นอนาคต ถ้าไม่เข้าใจ ก็ลองคิดตามแล้วแนะนำเราก็ได้ว่าควรทำยังไง หรือไม่ก็แกล้ง ๆ มองข้ามมันไปเถอะ แต่อย่าพูดแบบนี้กับเราเลย อย่าเทียบเลยว่าใครลำบากกว่า เพราะความลำบากของแต่ละคนที่เจอก็ไม่เหมือนกัน และที่สิ่งพวกเราเจอก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน

จากเด็กโควิดรุ่น2… และความหวังที่จะไม่มีรุ่นน้องรุ่นต่อไป

Loading next article...