ทำไมต้องให้เค้กวันเกิดกันในออฟฟิศ ?
ถ้าให้นึกถึงสถานที่ฉลองวันเกิด เชื่อว่าใครๆก็คงนึกถึงร้านอาหารดีๆ ในบรรยากาศพิเศษ ได้กินข้าวกับครอบครัว เพื่อนสนิท ยิ่งถ้าวันเกิดไม่ต้องไปทำงานจะนับว่าเป็นวันเกิดในอุดมคติเลยก็ได้ แต่เอาเข้าจริง สถานที่แห่งหนึ่งที่เราฉลองวันเกิดกันอยู่ตลอด ก็คือที่ออฟฟิศนี่แหละครับ มันเป็นเรื่องปกติที่เรานั่งทำงานอยู่ดีๆ ไฟออฟฟิศก็ดับพรึ่บ แล้วก็มีคนเดินถือเค้กพร้อมกับร้องเพลง แฮปปี้เบิร์ธเดย์ ไปอวยพรวันเกิดให้ใครสักคนในออฟฟิศ

การกระทำลักษณะนี้ต้องนับว่าเป็นประเพณีที่สืบทอดต่อกันมานาน เพราะย้อนอดีตไปปีแรกของการเป็นมนุษย์เงินเดือนเราก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมนี้แล้ว มันสามารถอนุมานได้ว่าเป็นกิจกรรมที่แสดงถึงความเอาใจใส่กันระหว่างเพื่อนร่วมทีม กระชับความสัมพันธ์ความเป็นพี่น้องหรือครอบครัวในที่ทำงาน (แม้ว่าบางที่จะเป็นพี่น้องในเรื่องซินเดอเรลล่าก็ตาม)

ด้วยความที่เราก็เป็นมนุษย์เงินเดือนมาทั้งชีวิต ผ่านการฉลองวันเกิดมานับครั้งไม่ถ้วน เป็นทั้งคนถือเค้ก คนเป่าเค้ก คนนำร้องเพลง เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว พบว่าการฉลองวันเกิดในออฟฟิศนี่จริงๆมันมีเบื้องหลังอีกเยอะมาก มีความอิหลักอิเหลื่อ ความเด๋อต่างๆ กว่าจะได้ฉลองเสร็จสำเร็จเป็นรูปถ่ายร่วมกันเพื่อเอาไปแปะในเฟซบุ๊ก

Image Credit: Shutterstock
ความเด๋ออย่างแรก คือเรื่องเค้กวันเกิดนี่แหละ ไม่รู้ว่ามันมีกฎหมายอะไรมาบังคับว่า การฉลองวันเกิดต้องเป็นขนมเค้กเท่านั้น จริงๆเจ้าของวันเกิดอาจจะชอบกินกระยาสารท หรือ บ๊ะจ่าง แต่ก็จะต้องถูกบังคับให้กินเค้กในวันเกิดอยู่ดี ซึ่งการเลือกเค้กวันเกิดก็เป็นอะไรที่ยุ่งยากซับซ้อนกว่าที่คิด เพราะว่าไม่ใช่ทุกออฟฟิศจะอยู่ใจกลางเมืองที่มีร้านเค้กมากมายให้เลือกสรร ถ้าตัวเลือกจำกัดก็จะมีโอกาสสูงมากที่การอวยพรวันเกิดในออฟฟิศนั้นจะลงเอยด้วยเค้กยี่ห้อเดิมๆวนลูปไปเรื่อยๆ ยิ่งถ้าช่วงไหนงานเดือดจนไม่มีคนมาจัดการเรื่องเค้กกันล่วงหน้า กว่าจะนึกขึ้นได้ก็ตอนเช้าของวันเกิดแล้ว รับประกันได้เลยว่ามีโอกาสสูงมากที่จะจบที่เค้กที่สามารถหาได้ง่ายที่สุดอย่างเค้กไอติมของสเวนเซ่นส์ หรือแดรี่ควีน ซึ่งอีเจ้าของวันเกิดมันก็รู้ทันทีว่าเตรียมกันไม่ทัน เลยต้องแก้ผ้าเอาหน้ารอดกันไป

พอได้เค้กเสร็จสรรพ ความพังขั้นถัดไปคือการจุดเทียน เราเคยอยู่ในออฟฟิศที่ไม่มีใครสูบบุหรี่เลย วัตถุไวไฟทั้งหลายกลายเป็นแรร์ไอเท็มขึ้นมาทันที ลำบากต้องวิ่งไปถามหาไฟแช๊คหรือไม้ขีดไฟจากออฟฟิศอื่น ทีมงานไหนที่มั่นใจต้องฉลองวันเกิดหลายครั้ง แนะนำว่าให้ระดมทุนซื้ออุปกรณ์พวกนี้เป็นทรัพย์สินส่วนกลางเก็บไว้ไปเลยดีกว่า

เมื่อเค้กพร้อม เทียนพร้อม อ่ะ ได้เวลาดับไฟ ความอิหลักอิเหลื่อขั้นถัดไปก็คือ การร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์นี่แหละ จริงอยู่ว่าเราร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ กันมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่เคยรู้สึกกันเลยเหรอว่าอีเพลงนี้มันยาวเกินไปมาก คนร้องก็เหนื่อย ยิ่งถ้าเพื่อนในทีมเกิดเป็น introvert กันยกทีม ไม่ถนัดการแสดงออกด้านมหรสพและจินตลีลาใดๆ โอกาสที่เพลงล่มระหว่างทางสูงมาก ส่วนเจ้าของวันเกิดก็ได้แต่ยิ้มแห้งเก้ๆกังๆ เพราะไม่รู้จะเอามือไปวางตรงไหน ต้องยิ้มไหม ต้องหัวเราะมั้ย ต้องมองไปทางไหน บอกเลยว่าจุดนี้คือสุดยอดแห่งความงืด

Image Credit: Aileni Tee
เอาล่ะ ในที่สุดเรามาถึงจุดสุดยอดของการฉลองวันเกิด นั่นคือการเป่าเทียน และถ่ายรูปเพื่อเป็นที่ระลึกของทีม หรืออีกนัยนึงคือการสร้างหลักฐานเพื่อนมัดตัวเพื่อนในทีมว่า “ถึงวันเกิดกูมึงห้ามลืมนะอีจอย” ซึ่งทันทีผ่านจุดนี้ไป กราฟความสนุกสนานของวันเกิดจะดิ่งลงเหวอย่างรวดเร็ว

คือถ้าวันไหนบรรยากาศออฟฟิศมาคุ หันไปทางซ้ายอีจุ๊บกำลังโดนเจ้านายฟาดงวงฟาดงา หันไปทางขวา อีนิกกี้กำลังโดนลูกค้ากินหัว บางคนกำลังเคร่งเครียดอยู่ในห้องประชุมเพื่อปั่นงานเดือดส่งเจ้านาย หรือกำลังประชุมทางไกลกับลูกค้าต่างประเทศ  แต่เค้กมาแล้วก็เลยต้องรีบปลีกตัวมาร่วมเฟรมพอเป็นพิธี จบปั๊บก็ต้องรีบพุ่งตัวกลับไปดับไฟงานที่กำลังท่วมอยู่ กลายเป็นภาระของเจ้าของวันเกิดนี่แหละที่ต้องเป็นคนตัดเค้กใส่จาน แล้วเดินแจกจ่ายไปทั่วออฟฟิศ เพราะเหลือเยอะแล้วมันจะไม่งาม ซึ่งฝ่ายผู้รับบางทีก็ไม่ได้อยากกิน เพราะกำลังลดความอ้วน คุมอาหาร เทรนเนอร์สั่งลดคาร์บอยู่ แต่ก็ต้องรับมาเพราะไม่อยากให้เสียน้ำใจกันอีก

พอผ่านการฉลองวันเกิดในออฟฟิศมานับครั้งไม่ถ้วน ในฐานะรุ่นพี่ในออฟฟิศ เราก็เริ่มเกรงใจน้อง เกรงใจเพื่อนร่วมทีมไม่อยากให้ลำบาก ก็เลยเอาข้อมูลวันเกิดออกจากโซเชียลมีเดียทั้งหมดไม่ให้ใครรู้ ก็พบว่ายังมีน้องที่บากบั่นไปสืบหาข้อมูลวันเกิดจากฝ่ายบุคคลมาจนได้ จุดนี้ถึงเข้าใจได้ว่า ถึงการฉลองวันเกิดในออฟฟิศไม่ว่าจะมันจะเป็นเค้กอะไร และใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที หรือจะแอบมีความเด๋ออยู่เบื้องหลังขนาดไหน เราก็ยังอมยิ้มและประทับใจทุกครั้งที่มีเพลง Happy Birthday ดังขึ้นในออฟฟิศอยู่ดี

Loading next article...