เหรียญสองด้านของการเปลี่ยนงานสมัยนี้
มันหมดยุคไปตั้งนานแล้วกับการแสวงหาความมั่นคงในชีวิต ตามหาบริษัทที่มั่นใจ ที่ที่เราจะเกษียณแล้วมีเงินเก็บในบั้นปลายชีวิต ตัดภาพมาที่ความจริง แค่การคิดว่าเดือนหน้าจะกดตั๋วคอนเสิร์ตทันไหมก็เหนื่อยแล้ว อะไรที่อยู่เกินไปกว่านั้นยังไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้น         

“เด็กสมัยนี้” ของผู้ใหญ่หลายคน จึงกลายเป็นคำที่ไม่ต่างอะไรกับประโยคที่ใช้เริ่มต้นการบ่นสารพัดเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องในที่ทำงาน เช่นเด็กสมัยนี้เปลี่ยนงานบ่อยยิ่งกว่าเปลี่ยนกางเกงใน บางคนเข้ามาทำงานยังไม่ทันได้รู้จักกัน รู้ตัวอีกที เอ๊ะ แกๆ น้องคนนั้นน่ะ ที่นั่งโต๊ะตรงข้ามแผนกของอีจอยน่ะหายไปไหนแล้ว อ๋อ … น้องเขาลาออกไปอาทิตย์ที่แล้ว นี่แกเพิ่งรู้เหรอ

บทสนทนาประมาณนี้เป็นเรื่องปกติมาก โดยเฉพาะหลายๆธุรกิจ เช่น เอเจนซี่โฆษณา หรือสตาร์ทอัพที่ต้องฉกชิงแย่งตัวคนทำงานกันให้วุ่น ฝ่ายบุคคลก็จะเหนื่อยกับการหาคนเข้ามาเติมในองค์กรให้เหมือนกับการเติมน้ำที่ก้นถังมีรูรั่วรูเบ้อเริ่ม

Image Credit: helloquence
ทุกครั้งที่คุยกันเรื่องนี้ เรามักจะได้ข้อสรุปว่า เด็กสมัยนี้มันไม่ทนเหมือนพวกเราหรอก ด่ามันนิดเดียวมันก็หนีไปอยู่ที่อื่นแล้ว

ในฐานะของมนุษย์เจนวายที่ทำงานในองค์กรทั้งเล็กและใหญ่มาเกินสิบปี เคยสัมภาษณ์คนเข้ามาทำงานนับครั้งไม่ถ้วน ได้คุยกับน้องๆยุคมิลเลนเนี่ยลเรื่องการย้ายงานจนพบว่า จริงๆเรื่องนี้เป็นเหรียญที่มีสองด้าน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมองเห็นด้านไหน

ด้านแรกคือ เด็กสมัยนี้มันก็ไม่ค่อยทนเหมือนรุ่นผมจริงๆนั่นแหละ แต่ที่เขาไม่ทน ไม่ใช่เพราะเขาเรื่องมาก หยิบหย่ง เหยียบขี้ไม่ไม่ฝ่อ (ซึ่งจริงๆก็เคยเจอมาเหมือนกัน แต่น้อยมากจนขอไม่พูดถึง) เขาไม่ทนเพราะว่ายุคนี้มันคือยุคที่โอกาสต่างๆมันไม่ได้หายากเหมือนเมื่อก่อนแล้ว การตัดสินใจผิดพลาดครั้งนึง ไม่ได้หมายถึงชีวิตจะจบสิ้น กลายเป็นตราบาปไปตลอดชีวิต แต่อะไรที่มันไม่เวิร์ค หรือลองแล้วพบว่ามันไม่ใช่ทางของตัวเอง ก็แค่ลุกขึ้นมาบอกตัวเองว่า ไม่เป็นไร แล้วก็ไปลองทำอย่างอื่นแทน ไม่เห็นจะยากเลย

Image Credit: Patrick Amoy
ผมมองว่าองค์กรนี่แหละ ที่ต้องหันกลับมามองตัวเองว่าโลกมันหมุนไปถึงไหนแล้ว แน่นอนว่าหลายๆที่ก็เริ่มปรับตัว เปลี่ยนนโยบายด้านบุคคล ตั้งแต่เงื่อนไขการรับเข้าทำงาน ไปจนถึงสวัสดิการต่างๆ เพื่อให้เข้ากับความต้องการของแรงงานยุคมิลเลนเนี่ยล ซึ่งหลายๆอย่างก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้ซับซ้อนอะไร เช่น เรื่องยูนิฟอร์มที่ช่วงหลังๆเราจะเริ่มเห็นความผ่อนคลายกฎระเบียบพวกนี้มากขึ้น

จากการสัมภาษณ์น้องๆที่เปลี่ยนงานกันรัวๆ หนึ่งในสาเหตุที่มักโผล่ขึ้นมาติดชาร์ตบิลบอร์ดอยู่หัวตารางตลอดเวลา ก็คือสภาพการทำงานขององค์กรเองนั่นแหละที่ไม่มีการปรับตัวให้เข้ากับแรงงานยุคใหม่ ผมจำได้ว่าในเว็บบอร์ดจะเห็นคนตั้งกระทู้เรื่องเจ้านายไม่อนุญาตให้ลาไปงานศพพ่อ หรือลาไปดูแลคนในครอบครัวที่ป่วยอยู่ ซึ่งคนรุ่นเก่าอาจรู้สึกว่ายังไงงานก็เป็นเรื่องสำคัญที่สุด แต่เด็กรุ่นใหม่อาจไม่รู้สึกเช่นนั้น ผมเคยได้คุยกับน้องคนนึงที่ลาออกเพราะโดนเจ้านายด่าด้วยคำหยาบคาย ซึ่งเราก็ถามตรงๆว่า การโดนด่านี่ทำให้เราตัดสินใจลาออกเลยใช่ไหม น้องตอบว่า ใช่พี่

Image Credit: Mimi Thian
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือเหตุผลที่พ่วงตามมาต่างหาก น้องเขาไม่ได้บอกว่ารับไม่ได้ แต่เขาแค่มองว่า ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ ทำไมไม่คุยกันดีๆ แค่เรียกไปคุย ติเตียน ให้คำแนะนำ คราวหน้าจะได้ไม่ผิดอีก แค่นี้เอง ไม่เห็นยากเลย ทำไมต้องหยาบคายด้วย หยาบคายแล้วได้อะไรถ้าไม่แนะนำหรือสอนให้เก่งขึ้น

เออว่ะ จริงของมัน

Image Credit: Patrick Amoy
แน่นอนว่า เรื่องการลาออกจะยังคงเป็นเรื่องให้คนเจนวาย และคนยุคมิลเลนเนี่ยลเถียงกันไม่จบไม่สิ้น เพราะเหรียญทั้งสองด้านก็ล้วนแบกความจริงที่เราอยากเห็นเอาไว้ เพราะเพียงแค่ไม่กี่ย่อหน้านี้ เราก็จะเห็นได้ว่าจริงๆแล้วเหตุผลของการลาออกไม่ได้มีแค่เรื่องเนื้องานอย่างเดียว แต่มันมีมิติที่ซ้อนลึกและยึดโยงกับเรื่องอื่นอีกมาก

คำถามที่สำคัญของเรื่องนี้คือ ก่อนจะบ่นเรื่องเด็กสมัยนี้ก็คือ คน ‘สมัยเรา’ เข้าใจและสื่อสารกับเด็กสมัยนี้มากพอแล้วหรือยังล่ะ?

         

Loading next article...