ข่าวแรกที่พบว่าเพื่อนๆพร้อมใจกันแชร์บนหน้าเพจเฟซบุ๊คของตัวเองเมื่อเช้าก็คือสารพัดสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการยกเลิกแจกถุงพลาสติกฟรีตามที่รัฐบาลได้กำหนดเอาไว้ในแผนแม่บทการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของประเทศ (พ.ศ. 2559-2564) เพื่อขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นสังคมปลอดขยะ
อันที่จริงนี่ไม่ใช่ข่าวใหม่ แต่มันถูกเอามาพูดกันหนาหูตอนนี้ก็เพราะว่าเมื่อวานเป็นวันดีเดย์ที่เริ่มต้นวันแรก แต่คนส่วนใหญ่ยังจมอยู่กับเทศกาลปีใหม่ เพิ่งจะเริ่มทำงานหรือเริ่มออกจากบ้านมาเจอสถานการณ์จริงๆกันวันนี้ไง
ต้องบอกก่อนว่าถุงพลาสติกจำนวนมากที่กำลังจะหายไปเหล่านี้ เป็นถุงที่มีความหนาน้อยกว่า 36 ไมครอน หรือเรียกง่ายๆว่า ‘ถุงใช้ครั้งเดียวทิ้ง’ รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมคาดว่าน่าจะลดการเพิ่มขยะชนิดนี้ได้อย่างน้อย 45,000 ล้านใบต่อปี และจะพยายามทำให้สิ่งเหล่านี้หมดไปภายในระยะเวลาที่กำหนดให้ได้
ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อวาน จนกลายมาเป็นสารพัดข่าวเมื่อเช้าน่าจะตอบคำถามนี้ได้ดี
ข่าวแรกที่เห็นแล้วร้องหู้ว! ก็คือภาพข่าวที่ชาวบ้านร้านตลาดพากันถือภาชนะต่างๆ (ที่ไม่ใช่ถุงพลาสติก) เข้าไปซื้อของตามร้าน ไม่ว่าจะเป็นตะกร้า (ทำจากหวาย สานแบบป้าๆยุคโบราณ) ถังน้ำหูหิ้ว กล่องกระดาษ กระสอบปุ๋ย หรือแม้แต่ถุงตากปลาแห้งแบบสามชั้น! เหมือนเป็นเทรนด์ที่ดูว่าใครจะหาของแปลกที่สุดมาเป็นภาชนะแทนถุงพลาสติกได้
ถ้าไม่นับว่าขโมยตะกร้าเค้ากลับบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตและประโยคสุดท้าย การกระทำแบบนี้ก็เป็นการช่วยประหยัดถุงพลาสติกตามความตั้งใจเดิมอยู่ดี แต่เชื่อไหมว่าข่าวนี้ถูกถล่มจากผู้ใช้โชเชียลทั่วทุกสารทิศ ไม่แพ้คดีฆาตกรรมใครซักคน ดูได้จากคอมเม้นต์ (ที่รุนแรง) และก้าวร้าวไม่แพ้กันบนหน้าเพจต่างๆ
ป้าขายน้ำแถวออฟฟิศบอกว่า “จะเอามาให้ลำบากทำไม ใส่แก้วป้าไปก็สิ้นเรื่อง ไม่คิดเงินเพิ่มอยู่แล้ว”
ลุงขายข้าวปากซอยบอกว่า “ใส่กล่องโฟมก็ได้ ไม่ต้องเอากล่องข้าวมาเองหรอก ลำบากจะตายลูก”
กลุ่มคนที่ดูจะได้รับผลกระทบมากที่สุดคือน้องๆ พนักงานตามร้านสะดวกซื้อ ซึ่งบอกว่านโยบายนี้เคยถูกทดลองทำมาแล้ว แต่ไม่ได้รับความนิยม เพราะยอดขายในร้านตกฮวบ คนไปซื้อร้านตรงกันข้ามที่ยังแจกถุงอยู่แทน เนื่องจากพฤติกรรมของคนส่วนใหญ่มักไม่ได้เตรียมตัวแวะซื้อของ แต่ซื้อเพราะเพิ่งนึกออกระหว่างทางกลับบ้าน
ส่วนใหญ่มักถูกลูกค้าวัยกลางคนขึ้นไปต่อว่า หาว่าประหยัดงบ ได้หน้า แต่ไม่เห็นใจคนซื้อ ถูกตำหนิ เหวี่ยงใส่ เหมือนเป็นที่รองรับอารมณ์ หรือพอรู้ว่าไม่มีถุงใส่ก็ยกเลิกการซื้อและวางของทิ้งเอาไว้เฉยๆแบบนั้น หรือบางคนก็บอกว่านโยบายนี้ถูกนำมาบังคับใช้แบบกะทันหันเกินไป ไม่ให้เวลาเตรียมตัวเตรียมใจบ้างเลย
ไม่อยากจะบอกว่าเค้าประกาศกันล่วงหน้ามาเป็นปีๆแล้วเห้อะ ไปอยู่ไหนกันมา!
พี่คนหนึ่งบอกว่าถุงพลาสติกไม่ใช่วายร้าย แต่ตัวร้ายคือคนที่เห็นว่ามันคือของฟรี รับมาใช้พร่ำเพรื่อแล้วทิ้ง เมื่อรวมกับระบบการบริหารจัดการขยะที่ไม่มีประสิทธิภาพพอ และการปลูกฝังจิตสำนึกการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่ได้ผล แม้ว่าจะทำกันอย่างจริงจังและต่อเนื่องกันมาหลายสิบปีแล้วก็ตาม
จริงๆนโยบายยกเลิกการใช้ถุงพลาสติกคงจะเร็วไปสำหรับคนไทย ถึงแม้ว่าเมืองนอกจะทำกันมานานแล้วก็ตาม เราอาจจะเป็นชาติที่ต้องใช้เวลาในการปรับตัวมากกว่าคนอื่น และไม่พร้อมที่จะทำเลยก็ได้ หรืออาจจะเป็นอย่างที่มีเพื่อนในเฟสบุ๊คอีกคนเขียนสเตตัสเอาไว้ว่า
“… เพราะเราเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว มากกว่าประโยชน์ส่วนรวมก่อนเสมอ”